รายละเอียด : la fleur d'edelweiss ลิลิธคารอน

    ของเขาต้องตาย เขากลายป็นโอเมก้าที่แตกต่างจากโอเมก้าทั่วไป มีพละกำลังเทียบเท่าอัลฟ่า มีร่างกายแข็งแรงซึ่งสามารถรักษาตัวเองได้ และประสาทสัมผัสทั้ง 5 ไม่ว่าจะการรับรส การสัมผัส การมองเห็น การได้ยิน และการได้กลิ่นว่องไวกว่าคนปกติ ทุกอย่างเหมือนจะเป็นไปได้ด้วยดี ทว่าหลังจากที่ลิลิธขึ้นรับตำแหน่งนายท่า ท่าเรือสโนวเดนก็มีแต่เรื่องวุ่นวายเข้ามาไม่มีจบสิ้น มีผู้ประสงค์ร้ายลอบขนยาเสพติดออกนอกประเทศผ่านท่าเรืออยู่บ่อยครั้ง ทำให้เขาถูกสังคมตราหน้าว่ามีส่วนรู้เห็นและทำให้ชื่อเสียงของประเทศเสียหาย นอกจากนั้นเขายังถูกลอบสังหารจาก ‘กลุ่มชายชุดดำ’ ที่ถูกบงการโดยใครบางคน ลิลิธพลาดท่าถูกยิงด้วยกระสุนอาบยาพิษ ส่งผลให้ร่างกายที่แข็งแรงอ่อนแอลงจนร่างกายไม่สามารถรักษาตัวเองได้ดีเท่าเดิม ประสาทสัมผัสที่เคยว่องไวก็รวนจนควบคุมไม่ได้ และการรักษาก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะร่างกายของเควียร์โอเมก้าปฏิเสธการรักษาทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นการฉีดวัคซีนหรือการรับประทานยา วิธีเดียวที่จะสามารถนำยาเข้าสู่ร่างกายได้คือ ‘การดมกลิ่น’ แต่กลิ่นของสมุนไพรก็ยังไม่สามารถรักษาร่างกายของเขาให้กลับมาแข็งแรงได้เท่าเดิมท่ามกลางความโกลาหลวุ่นวายที่เกิดขึ้น วันหนึ่งลิลิธได้บังเอิญพบกับ คารอน แอชวู้ดส์ ทายาทตระกูลผู้ดี อัลฟ่าเจ้าของกลิ่นฟีโรโมน ‘ดาร์กรัม’ ที่ทำให้ร่างกายของเขากลับมารักษาตัวเองได้อย่างน่าอัศจรรย์ กลิ่นนั้นส่งผลต่อร่างกายของเขาได้ดียิ่งกว่ายาทุกชนิดบนโลก แต่บุคคลที่เป็นเหมือนความหวังเดียวกลับมีชื่อเสียงเลื่องลื่อในเรื่องความเจ้าชู้ เจ้าเล่ห์ และเจ้าแผนการ ลิลิธตัดสินใจว่าถึงอย่างไรก็ต้องใช้กลิ่นของคารอนรักษาตัว เขาเสนอทรัพย์สินให้ ทว่าฝ่ายนั้นกลับต้องการอย่างอื่นตอบแทน...ซึ่งค่อนข้างจะเปลืองตัวอยู่มากทีเดียวลิลิธไม่มีทางเลือกมากนัก…เพราะความแค้นที่มีต่อศัตรูยังไม่ได้สะสาง อีกทั้งคนร้ายที่ฆ่าพ่อก็ยังไม่ถูกจับ ดังนั้นแค่ยอมเปลืองตัวนิดๆ หน่อยๆ เพื่อแลกกับความแข็งแกร่งที่ได้คืนกลับมาก็ดูคุ้มค่าดีไม่ใช่หรือ