รายละเอียด : พรหมลิขิต

“ออเจ้ามาจากที่ไหน มาจากปีพ.ศ.อะไรใช่ปี 2552 หรือไม่” ด้วยความที่อยู่ภพนี้จนคุ้นชินนานหลายปี คราแรกที่พูดเกศสุรางค์จึงไม่คุ้นลิ้นพอที่จะกลับไปพูดจาอย่างคนในยุคเธอได้อย่างทันควัน ส่วนพุดตานนั้นเมื่อได้มองเห็นความตื่นเต้นที่ฉายชัดบนใบหน้า และได้ยินคำพูดคำจาที่มีสำเนียงของคนยุคเดียวกัน ก็ทำให้หญิงสาวฉุกใจคิด ...หรือเธอไม่ใช่คนเดียวที่ข้ามภพมา? ....เมื่อพรหมลิขิตนำพาให้คนหนึ่งที่แล้งไร้ไปเสียทุกอย่างได้มาพบกับคนหนึ่งที่สมบูรณ์พร้อม ฟ้าดินพลิกผันกงกรรมจึงหมุนเวียน แม้แต่ตัวพุดตานเองก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดเธอจึงรู้สึกคุ้นเคยกับโลกใบนี้... ราวกับว่าทุกสิ่งเรียกร้องให้เธอกลับมาชดใช้และทวงคืน!

รีวิวโดยบุ๊คเมท : พรหมลิขิต

ภาคต่อของ "บุพเพสันนิวาส" นิยายดังที่คนรู้จักทั้งบ้านทั้งเมือง บอกเลยว่าภาคนี้ครบจบสมบูรณ์ ถือเป็นบทสรุปที่แฟนบุพเพสันนิวาสห้ามพลาดเลย โดยเรื่องราวในเล่มนี้จะเล่าถึง "พุดตาน" หญิงสาวนักศึกษาในยุคปัจจุบันที่กำลังอยู่ในช่วงฝึกงานก่อนเรียนจบ และได้พบกับ "หีบ" ปริศนาเข้า แน่นอนว่าทันทีที่เธอจับหีบนั้น แสงทองก็สว่างวาบ และพาเธอย้อนเวลากลับไปยังยุคกรุงศรีฯ ยุคเดียวกับแม่การะเกดนั่นเอง ความสนุกก็คือ พุดตานไม่ได้ย้อนมาในร่างของใครทั้งสิ้น แต่ย้อนมาในฐานะ "พุดตาน" นี่แหละ ทำให้ไม่มีทั้งเงินและพรรคพวก แถมยังไม่มีความรู้ด้านประวัติศาสตร์เหมือนเกศศุรางค์ซะอีก! เรียกว่างานนี้ต้องสู้ชีวิตสุดๆ แต่โชคยังดีที่พุดตานมีสกิลการเกษตรและทำอาหารมาบ้าง ก็เลยได้โชว์ฝีมือปลูกผัก ทอดปลา แถมยังปิ๊งไอเดียทำเครื่องสำอางขายเองอีกต่างหาก เรียกว่าใครชอบนางเอกแนวบู๊ๆ ต้องภาคนี้เลยค่ะ และแน่นอนว่าก็ยังไม่ลืมที่จะเกี่ยวโยงกับเรื่องราวของ "บุพเพสันนิวาส" ด้วย เพราะในภาคนี้เราจะได้รู้ที่มาของ คัมภีร์กฤษณะกาลี และบทสรุปของมัน เรียกว่าเป็นเล่มที่เคลียร์ทุกปมไม่มีอะไรให้งงอีกต่อไป ที่สำคัญคือ ใครเคยติดใจฉาก "โล้สำเภา" ของพี่หมื่นนั้น ต้องมาเจอฉาก "ตำน้ำพริก" ของพ่อริดนะ บอกเลยว่าแซ่บสุดๆ!!