รีวิวโดยบุ๊คเมท
-
149.00
134.10 บาท
คุณพ่อคุณแม่ลองให้เด็กๆเล่นสนุก ด้วยหนังสือเล่มนี้ ให้เด็กๆลองมองภาพทีละส่วน เพื่อทายว่าสิ่งนั้นคืออะไร เพื่อเป็นการฝึกการเชื่อมโยง ความคิด เพิ่มความสนุกสนาน ท้าทายความสามารถ และฝึกปัญญา จากเรื่อง หนูเจ็ดตัว -
275.00
247.50 บาท
"หนังสือ 84 เมนูอาหารผู้สูงอายุเพื่อสุขภาพ"ชอบเล่มนี้มากๆเพราะใช้ทำอาหารบำรุงสุขภาพให้พ่อกับแม่ทานค่ะ ภาพประกอบสวยงามเหมือนเมนูร้านอาหาร มีหลากหลายเมนูให้เลือกทำ จะได้ทานได้ไม่เบื่อด้วยค่ะ ^__^ฺBookworm by fan page อ้น ศิริลักษณ์ -
350.00
332.50 บาท
เอเร็ค เร็กซ์ อ่านแล้วสนุกมากๆ ได้ผจญภัย เพื่อนๆลองอ่านดูนะคะ แล้วจะติดใจค่ะ หนูอ่านทุกเล่มเลยค่ะ ^__^ Bookworm by fan page Arwen Aragon -
250.00
225.00 บาท
หนังสือท่องเที่ยวแนวน่ารัก ๆกุ๊กกิ๊ก สไตล์หวานของตุ๊กตา พนิดา ที่จะพาผู้อ่านท่องไปสู่ลอนดอนในมุมมองที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นร้านขายของแนว vintage น่ารักๆ รวมไปถึงของ กระจุ๊กกระจิ๊ก แบบผู้หญิง ๆ ที่สามารถพบเจอได้ในตลาด นอกจากนี้สีสันสดใสภายในเล่มทำให้รู้สึกสนุกไปกับการอ่าน หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือท่องเที่ยวที่คุณไม่ควรพลาด ลอนดอนที่ว่าเคยเป็นเมืองแห่งผู้ดีอังกฤษจะกลายเป็นเมืองแห่งความน่ารัก สดใส ในพริบตาเดียว!!! -
195.00
175.50 บาท
หนังสือ "Life Coach" ช่วยให้คุณเข้าใจการจัดการชีวิตค่ะ ทำให้รู้ว่าช่วงอายุแต่ละวัยของคนเรา จะต้องให้ความสำคัญกับอะไรบ้าง อีกทั้งยังให้แง่คิดในการใช้ชีวิต และหลักจิตวิทยา รวมถึงทักษะการจัดการชีวิตของแต่ละคน และแง่มุม แง่คิดในการใช้ชีวิตที่แตกต่างกัน ก็ย่อมจะทำให้ผลลัพธ์ต่างกัน หนังสือเล่มนี้ช่วยสร้างแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต และทำให้คนธรรมดาคนนึงอยากที่จะประสบความสำเร็จเหมือนกัน ^^ -
195.00
175.50 บาท
สำหรับผู้ที่เริ่มถักโครเชต์ เราขอแนะนำ มือใหม่หัดถักโครเชต์ที่จะอธิบายขั้นตอนการถักอย่างละเอียด นำเสนอเนื้อหาเป็นขั้น เป็นตอนเริ่มกันตั้งแต่ทำความรู้จักวัสดุ-อุปกรณ์ เทคนิคการถักลายพื้นฐานวิธีการถักเป็นชิ้นงานแบบต่างๆพร้อมผังการถักที่ชัดเจนเข้าใจง่าย เหมาะกับมือใหม่เป็นอย่างยิ่ง -
175.00
157.50 บาท
จดหมายจากผู้นำเล่มนี้เป็นหนังสือรวบรวมวาทะจากบุคคลสำคัญทั่วโลกในยุคปัจจุบัน โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้คำแนะนำแก่บรรดาผู้ที่จะเป็นผู้นำในอนาคต แต่สำนักพิมพ์เห็นว่าเนื้อหาเหมาะสมสำหรับคนทั่วไปที่จะนำมาปรับใช้กับการดำรงชีวิตประจำวันตลอดจนการทำงานได้เป็นอย่างดี โดยหนึ่งในบุคคลสำคัญเจ้าของคำแนะนำที่ได้รับการรวบรวมตีพิมพ์ในหนังสือเล่มนี้คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของไทย ซึ่งเป็นการตัดตอนมาจากบทพระราชทานสัมภาษณ์นิตยสาร "Leaders" นั้นเอง -
200.00
180.00 บาท
เส้นสมมุติ เป็นการตั้งคำถามในหน้าที่ของเส้นสมมุติที่เกี่ยวข้องกับ ประเทศชาติ เชื้อชาติ คน ความเชื่อ วัฒนธรรมประเพณี จิตใจ ฯ ที่มีต่อกันว่า เส้นนี้ทำหน้าที่อย่างถูกต้องแล้วหรือ แล้วเส้นที่ว่านี้แม้จะไม่มีตัวตนในทางรูปธรรม แต่ในทางนามธรรมกับมีอิทธิพลต่อผู้คนมากมาย จนสามารถทำลายชีวิตได้อย่างมากมาย วินทร์ เลียววาริณ พูดถึงอุดมคติและหรืออาจจะเป็นจุดประสงค์ของรวมเรื่องสั้นเล่มนี้ไว้ว่า “เรามีโลกหนึ่งเดียวเสมอ เรามีมนุษยชาติเดียว เรามีป่าไม้เดียวคือของทั้งโลก เรามีแม่น้ำสายเดียวคือสายน้ำของทั้งโลก เรามีมหาสมุทรเดียว แผ่นดินเดียว อากาศเดียว ท้องฟ้าเดียว น้ำทั้งหมดก็คือน้ำเดียวกัน วนเวียนไปตามที่ต่าง ๆ อากาศทั้งหมดก็คืออากาศเดียวกันไหลเวียนไปตามมุมต่าง ๆ ชีวิตทั้งหมดก็คือชีวิตเดียวกัน มาจากต้นกำเนิดเดียวกัน ที่เหลือเป็นเพียงสิ่งสมมุติขึ้นมา” โดยทั่วไป การตั้งชื่อหนังสือรวมเรื่องสั้นมักจะใช้ชื่อเรื่องสั้นเรื่องหนึ่งในหนังสือนั้นมาตั้ง อาจเป็นเรื่องที่เด็จที่สุด หรือชื่อที่มีความหมายดีที่สุด ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว ชื่อหนังสือจึงไม่ใด้แสดงถึงภาพโดยรวมของเนื้อหาหนังสือทั้งหมด แต่รวมเรื่อง เส้นสมมุติ นั้น ผมถือว่าเป็นชื่อที่ครอบคลุมเนื้อหาของเรื่องสั้นทั้งหมดในเล่มได้อย่างดีทีเดียว ท่านทั้งหลายที่เป็นแฟนนักเขียนสองซีไรท์ท่านนี้ก็คงจะทราบแนวทางและวิธีการเขียนได้อย่างดี สำหรับนักอ่านใหม่ที่เพิ่งจะทำความรู้จักหรือเพิ่งจะลองอ่าน ก็อาจจะรู้สึกว่างานเขียนของวินทร์ เลียววาริณ โดยเฉพาะเรื่องสั้นนั้นอ่านยาก มีขนาดยาวเกินเรื่องสั้นของนักเขียนท่านอื่น เนื้อหาแน่นและหนัก แม้แต่อาจารย์มหาวิทยาลัยสอนเกี่ยวกับการเขียน ยังบอกกับผมว่า งานของวินทร์นั้นยาก มีความลุ่มลึกสูง ชอบใช้การเปรียบเทียบในระดับสองมิติขึ้นไป ถ้าใครเข้าถึงได้ก็จะมีความสนุกสนานเพลิดเพลินสำหรับการอ่าน แต่หากเข้ายังไม่ถึง เล่มหนึ่งอาจอ่านวาง อ่านวาง อ่านและวางหลายรอบ รวมเรื่องสั้นเรื่อง เส้นสมมุติ ก็มีสิ่งที่ผมเขียนไว้อย่างอัดแน่นทีเดียว รวมเรื่องสั้นเล่มนี้มีเรื่องสั้น ๑๒ เรื่อง ที่ผมชื่นชอบมากคือเรื่อง เสือในสวนยาง ฮินดูกูฎ สะพาน รักกันหนึ่งร้อยปี สองเรื่องแรกเป็นเรื่องของเส้นสมมุติของดินแดน ชาติพันธุ์ สองเรื่องหลังเป็นเรื่องของเส้นสมมุติที่อยู่ในใจของตัวละครเอก โดยเฉพาะเรื่อง รักกันหนึ่งร้อยปี เข้าถึงระดับใจของตัวละครได้อย่างลึกซึ้ง โครงเรื่องและเนื้อหาสมจริงสมจัง เชื่อว่ามีการค้นข้อมูลอยู่นานและจำนวนมากในการเขียนเรื่องสั้นเรื่องนี้ อ่านแล้วอินมากทำให้รู้สึกว่า ตัวละครในเรื่องคือญาติสนิทของผู้อ่านเองเลยทีเดียว มันเห็นภาพจนทำให้น้ำตาซึม ข้อสังเกตหนึ่งคือ วินทร์ เลียววาริณใส่ความเป็นตัวเองสูงมาก ๆ ลงในงานเขียนคือ ความเป็นคนสนใจวิทยาศาสตร์และศิลปะ มีการพูดถึงเรื่องยีนที่กำหนดพฤติกรรมมนุษย์ และพูดถึงเรื่องการตีความจากงานศิลปะ ทำให้งานเล่มนี้นอกจากจะได้รับความสนุกสนานแล้วยังได้รับความรู้แฝงอีกด้วย ผมไม่อาจวิจารณ์ได้มากไปกว่านี้เพราะความรู้น้อยเหลือเกิน เขียนเฉพาะอ่านแล้วรู้สึกอย่างไรเท่านั้นหยุดยาวช่วงสงกรานต์นี้ สำหรับท่านที่เบื่อหน่ายกับพฤติกรรมการเล่นสงกรานต์แบบป่าเถื่อน เส้นสมมุติ เหมาะที่จะเป็นเพื่อนของท่านได้อย่างดี และคำเตือนสำหรับการอ่านหนังสือเล่มนี้คือ ท่านอาจจะอ่านมันอย่างรวดเร็วจบเล่มภายในหนึ่งวันเพราะความสนุก แล้วมันจะทำให้คุณต้องอ่านซ้ำอีกหลายรอบอย่างที่ผมเป็น -
289.00
260.10 บาท
ชายิกาของซาตาน เป็นเรื่องราวของวุ้น หรือ ชายิกา สาวน้อยแสนหวานที่จับพลัดจับผลูไปทำงานอยู่ใกล้ๆกับคุณมาร์ค หรือ ศาสตรา ซึ่งพระเอกของเราก็หาเรื่องมาอยู่ใกล้ๆ ตัวของชายิกาตลอด แต่สาวน้อยก็ไม่คิดว่า หนุ่มสุดหล่อจอมวีน ผู้เป็นลูกเลี้ยงนายจ้างคนนี้จะแอบมีใจให้ แถมยังเิิกิดเรื่องชวนเข้าใจผิดอีกมากมาย อย่างปมปัญหาในอดีตของศาสตราที่เข้ามาพัวพันกว่าจะเข้าใจกันได้ถูกต้อง ได้ลงเิอยรักกันก็ต้องลุ้นกันตัวโก่งเลยทีเดียว -
259.00
233.10 บาท
เมื่อม้าแสนรักของ เก็ตถวา เจ้าของฟาร์มภูคำ กำลังถูกลอบทำร้าย แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดา ซึ่งจะใช้คนธรรมดามาจัดการก็ไม่ใช่เรื่อง งานนี้จึงทุ่มทุน(โดยพ่อของนางเอก) จ้างเทรนเนอร์จากฟาร์มชื่อดังมาจัดการ แต่ไหงกลับกลายเป็นว่าคนที่มาไม่ใช่เทรนเนอร์ธรรมดา กลับเป็นเทรเนอร์ชื่อดัง ภารกิจตามล่าหาคนร้ายจึงดำเนินควบคู่ไปกับการปลูกต้นรัก แต่แล้วกลับมีเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้ต้นรักต้องหยุดเจริญเติบโตทันควัน อยากรู้แล้วใช่ไหมค่ะว่าอะไรที่มีอิืทธิพลรุนแรงถึงขนาดสั่งให้หยุดได้ ถ้าอย่างงั้นลองติดตามได้ในรูปเล่มกันเลยค่ะ -
99.00
94.05 บาท
สาวสวย ดุ โหด อย่างอันกาอิน ไม่เคยออมมือให้กับวายร้ายหน้าไหน แต่เมื่อมาเจอกับสองหนุ่มหล่อลากกระชากไส้ เธอจะรักษาฟอร์มโหดไว้ได้สักแค่ไหนเชียว -
240.00
216.00 บาท
ด้วยการวางโครงเรื่องอย่างเรียบง่ายแต่แยบยล ผูกปมปริศนาไว้เป็นระยะ รวมทั้งให้รายละเอียดทางนิติวิทยาศาสตร์ในการไขคดีอย่างสมจริงจนน่าขนหัวลุก -
249.00
224.10 บาท
ป็นเรื่องราวของเจ้าพ่ออาบอบนวดที่เกิดอาการเบื่อหน่ายผู้หญิงเป็นที่สุด แต่เมื่อมาเจอสาวน้อยหน้าใส ตาแป๋วแหวว ก็เกิดตกหลุมรักเข้าจังเบ้อเร่อ จึงงัดสารพัดวิธีขึ้นมาใช้ แล้วมารยาชายนี่จะสู้มารยาหญิงได้หรือไม่ ติดตามกันได้ในเล่มเลย -
80.00
72.00 บาท
หนังสือเล็กๆ เล่มนี้จะช่วยชี้บอกแนวทางเพื่อช่วยให้เพื่อนหญิงทั้งหลายสามารถล่วงรู้ถึงสาเหตุของการกระทำของชายที่คุณหมายปอง หรือผู้ชายที่คุณจะต้องติดต่อด้วยในทุกด้าน ไม่จำเป็นว่า่จะต้องเป็นเรื่องของความรักเสมอไป เพื่อสร้างความเข้าใจ รู้วิธีการรับมือกับการกระทำของเขา และที่สำคัญคือรู้เท่าทันความคิดของพวกเขา -
185.00
166.50 บาท
“นวนิยายรักที่ Dak–Done เสียด Colour และกวน–Teen ที่สุดในรอบปี” นี่คือคำนิยามของนวนิยายที่ชื่อว่า ผู้ชายคนที่ตามรักเธอทุกชาติ พิมพ์ครั้งที่ 85 เป็นนิยามที่บัญญัติขึ้นโดยตัวผู้เขียนเอง คือ วินทร์ เลียววาริณ นักเขียนรางวัลซีไรต์ ปี 2540 เจ้าของผลงานติดหูนักอ่านผู้ชื่นชอบวรรณกรรมแนว 'เสียดสี' อย่าง ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน, หลังอานบุรี, ปีกแดง และผลงานอื่นๆ อีกมากมาย หากใครที่เป็น 'แฟนพันธ์ุแท้' ของวินทร์แล้ว ย่อมทราบกันดีว่าชายผู้นี้มี 'ไอเดีย' ที่หลากหลายในการสร้างสรรค์งานเขียนประเภทเสียดสีวิภาควิจารณ์สังคมและการเมืองได้ในทุกรูปแบบ นวนิยายรักเล่มนี้ก็เช่นกันครั้งแรกที่ดิฉันเห็นหนังสือเล่มนี้ โดยเฉพาะชื่อที่เรียกได้ว่า 'หวานซึ้ง' ไม่ว่าใครก็คงจะเข้าใจว่าเป็นนิยายรักอย่างแน่นอน แต่ความคิดนั้นก็ต้องสะดุดเมื่อได้เห็นชื่อของนักเขียน'วินทร์ เลียววาริณ' ความแปลกใจเกิดขึ้นทันที จากการที่เคยอ่านผลงานของคุณวินทร์มาบ้าง อาจกล่าวได้ว่างานเขียนแนวเสียดสีนี้ กลายเป็นเอกลักษณ์ประจำของคุณวินทร์ไปเสียแล้ว จะเป็นไปได้หรือที่คุณวินทร์จะเปลี่ยนแนวมาเขียนนิยายรักผู้ชายคนที่ตามรักเธอทุกชาติ พิมพ์ครั้งที่ 85 จึงเป็นความคาดหวังเล็กๆ ของดิฉันที่อยากจะเห็นนิยายรักและอยากจะทราบมุมมองรักของคุณวินทร์ แต่หนังสือเล่มนี้ก็เป็นนวนิยายรัก 'หวานปะแล่มๆ' ในแบบฉบับของคุณวินทร์จริงๆ เพราะนอกจากเรื่องราวความรักแล้ว ยังผสมด้วยนิยายอิงประวัติศาสตร์ เจือนิยายวิทยาศาสตร์ ล้อเลียนเสียดสีสังคมการเมืองยุคบริโภคนิยม ด้วยโครงเรื่องที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนและเปี่ยมด้วยอารมณ์ขันร้าย ด้วยความซับซ้อนของเรื่องนี้ จึงก็ต้องอาศัยความตั้งใจในการอ่านไม่น้อย เพราะเป็นหนังสือที่ไม่ใช่จะ 'อ่านผ่านๆ' ได้ หากแต่ต้อง 'อ่านเก็บ' กันอย่างละเอียดลออเรื่องราวของ ผู้ชายคนที่ตามรักเธอทุกชาติ พิมพ์ครั้งที่ 85 เริ่มต้นเรื่องที่ สาย ธารี โกสท์ไรเตอร์ นักเขียนผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของนักเขียนที่มีชื่อเสียงหลายคน วันหนึ่งเขาเดินชนหญิงสาวลึกลับที่หัวมุมถนนและหลงรักเธอทันที เขาเชื่อมั่นว่าเขาเคยพบกับเธอมาก่อน สาย ธารี สืบพบว่าหญิงสาวคนที่เขาหลงรักตั้งแต่แรกพบ เกี่ยวข้องกับหนังสือนิทานโบราณเล่มหนึ่งที่ตีพิมพ์โดยหมอบรัดเลย์ ชื่อ นิทานอีแสบ ยิ่งเขาคลี่คลายปริศนาแห่งนิทานอีแสบลึกเท่าใด ก็ยิ่งค้นพบความลับของเขากับเธอว่าเคยรักกันมาก่อนในหลายๆ โลก จักรวาลประกอบด้วยมิติมากมายนับไม่ถ้วน เธอคนที่เขารักเป็นหนึ่งในเธอจำนวนล้านๆ คนในโลกมิติต่างๆ ที่ซ้อนทับกันความรักของเขากับเธอในโลกมิติต่างๆ นั้นเกี่ยวพันกับประวัติศาสตร์ของโลกตั้งแต่โบราณ เช่น การยาตราทัพข้ามโลกของเจ็งกิสข่าน อเล็กซานเดอร์มหาราช การรุกกรุงธนบุรีของอะแซหวุ่นกี้ งานจิตรกรรมของ ดา วินชี ความลับกรุงศรีอยุธยาแตกในปี พ.ศ. 2310 ลายแทงขุมทรัพย์โบราณของยามาชิตา ความลับของเลข 5 กับ 8 ไปจนถึงปริศนากลุ่มดาวราศีธนู หลุมดำ และการย้ายข้ามมิติในจักรวาลนอกเหนือจากที่กล่าวมาแล้วยังมีนักเขียนนิยายชื่อดังหลายๆ ท่าน รวมทั้งศิลปินผู้มีชื่อเสียง นักคิด นักวิทยาศาสตร์ ที่คุณวินทร์นำมา 'ยำ' รวมเข้ากับนวนิยายรักเรื่องนี้ อาทิ 'รงค์ วงษ์สวรรค์ จาก มาเฟียก้นซอย, ปรมาจารย์นิยายกำลังภายในอย่างกิมย้ง กับนิยาย มังกรหยก, อองตวน เดอ แซงเตก ซูเปรี กับเจ้าชายน้อย, เออร์เนสท์ เฮมิงเวย์ กับ The Old Man and the Sea, แดน บราวน์ กับ The Da Vinci Code, จอห์น เลนนอน กับเพลง Imagine, อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ กับทฤษฎีสัมพัทธภาพ และผู้มีชื่อเสียงอื่นๆ อีกมากมายผู้ชายคนที่ตามรักเธอทุกชาติ พิมพ์ครั้งที่ 85 ผลงานชื่อยาวเหยียดของคุณวินทร์เรื่องนี้ นับได้ว่า 'ฉีก' จากงานเขียนเรื่องอื่นๆ อยู่มาก ด้วยเนื้อหาที่ผ่อนคลายลงจากที่เคยเสียดสีการเมืองอย่างเข้มข้นในผลงานที่ผ่านมา มีการปรับเปลี่ยนมุมมอง และให้ความสนใจแง่มุมต่างๆ ในสังคมมากขึ้น โดยใช้ความรักของ สาย ธารี และรตีเป็นสื่อกลาง มีการสอดแทรกประเด็นสังคมที่อ่านแล้วก็ทราบได้ทันทีว่า 'โกหก' แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเมื่ออ่านแล้วก็รู้สึก 'สะใจ' ในการประชดประชันผ่านสื่อหนังสือพิมพ์ของไทยในมิติต่างๆ ที่ซ้อนทับกันดังกล่าวข้างต้น เช่น กินเนสส์ บุ๊ค ประกาศว่าคนไทยอ่านหนังสือมากที่สุดในโลกเฉลี่ยคนละ 1,250 เล่มต่อปี รัฐบาลจำเป็นต้องออกกฎหมายบังคับให้หนังสือทุกเล่มพิมพ์ประโยคที่ปกว่า “ห้ามอ่านเกินวันละ 15 เล่ม” หรือประเทศไทยได้รับการโหวตว่าเป็นประเทศที่คอร์รัปชั่นน้อยที่สุดในโลก จนรัฐบาลต้องงดเก็บภาษีเพราะเงินออมของชาติพุ่งสูง พาดหัวข่าวของประเทศไทยในมิติอื่นนี้เรียกได้ว่าแตกต่างกับความเป็นจริงที่คุณวินทร์เรียกว่า 'มิติของเรา' อย่างสิ้นเชิง การเขียนในลักษณะนี้ กล่าวได้ว่าคุณวินทร์ก็ยังคงไม่ทิ้งลายแห่งนักเขียนงานประเภทเสียดสี และคงความเป็นเอกลักษณ์ไว้อย่างเหนียวแน่นแม้จะเป็นงานเขียนประเภทนวนิยายรักหากคุณกำลังมองหาหนังสือเบาสมองแต่หนักด้วยสาระ ดิฉันขอแนะนำ ผู้ชายคนที่ตามรักเธอทุกชาติ พิมพ์ครั้งที่ 85 นวนิยายรักที่จะทำให้คุณรู้สึกสนุกสนานเหมือนได้ร่วมผจญภัยข้ามมิติและกาลเวลาไปพร้อมกับ สาย ธารี ขบขันกับตลกร้ายแห่งสังคมยุคบริโภค และสงสัยบ้างหรือไม่ว่าทำไมต้อง 'พิมพ์ครั้งที่ 85' หาคำตอบได้ในนวนิยายรักที่ 'Dak – Done เสียด Colour และกวน-Teen ที่สุดในรอบปี' เล่มนี้ -
170.00
153.00 บาท
เราเคยกล่าวถึงงานของ วินทร์ เลียววาริณ เมื่อครั้งที่ อาเพศกำสรวล เป็นหนึ่งในเจ็ดเล่มที่เข้ารอบสุดท้ายรางวัลซีไรต์ประจำปี พ.ศ. 2539 ซึ่งก่อนหน้านั้น วินทร์ เลียววาริณ ได้รับรางวัลจากคณะกรรมการพัฒนาหนังสือแห่งชาติ พ.ศ. 2538 จากผลงานถึง 3 ชิ้นด้วยกัน คือ อาเพศกำสรวล สมุดปกดำกับใบไม้สีแดง และ ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน จึงนับได้ว่าผลงานของนักเขียนผู้เรียนจบสถาปัตยกรรมผู้นี้น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง เดือนช่วงดาวเด่นฟ้า ดาดาว รวมเรื่องสั้นอันเกิดจากจินตนาการที่รองรับด้วยพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ ผนวกเข้ากับความเป็นจริงของโลกปัจจุบัน มีเนื้อหาส่วนใหญ่เกี่ยวกับวิถีชีวิต และภารกิจของผู้คนในโลกอนาคต ซึ่งล้วนแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์ต่างๆ เช่น การสำรวจและค้นหาดาวดวงใหม่ในจักรวาลมาเป็นอาณานิคม การทำโคลนนิ่งมนุษย์ หรือการกินยาแทนทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต นอกจากนี้ผู้เขียนยังได้เชื่อมโยงหลักปรัชญาและศาสนาที่ลึกซึ้ง เข้ากับหลักวิทยาศาสตร์อย่างกลมกลืน เช่น การพิสูจน์ความเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ เป็นต้น แม้ว่าเนื้อหาส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับโลกอนาคต แต่ทางด้านสภาพสังคมจิตใจ และการกระทำของผู้คนก็ไม่ต่างจากปัจจุบัน คือมีทั้งคนดีและคนที่... ฉ้อราษฎร์บังหลวง เห็นแก่ตัวทั้งเรื่องการงาน หรือความรัก เรื่องสั้นแนววิทยาศาสตร์บางเรื่อง จึงดูคล้ายๆ กับนิยายรักรันทดบ้างเหมือนกัน และภายใต้ฉากของโลกอนาคตนั้น ยังได้สะท้อนให้เห็นความเสื่อมโทรมถึงขีดสุดของสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติในปัจจุบัน ซึ่งส่งผลกระทบไปถึงอนาคต และสำหรับคนไทย ทัวร์สยาม 4001 เป็นภาพความเปลี่ยนแปลงทางด้านวัฒนธรรมที่เห็นได้ชัดเจน ทัวร์สยาม 4001 รายการเที่ยวเมืองไทยภายใน 14 วัน จะพาเราไปพบกับเมืองไทยในยุคที่มีบุรีรัมย์เป็นเมืองหลวง มีแฮมเบอร์เกอร์เป็นอาหารประจำชาติ ใช้ภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาหลัก มีกรุงเทพฯเป็นเมืองหิมะ และชุดแจ็คเก็ตสูทกับมินิสเกิร์ตเป้นชุดไทยโบราณ ภาพเมืองไทยในปี ค.ศ. 4001 นั้นเป็นจินตนาการที่อาจทำให้คนไทย พ.ศ. นี้ อ่านแล้วอยากหัวเราะและร้องไห้ไปพร้อมๆ กัน หากมองเพียงผิวเผินแล้ว เดือนช่วงดวงเด่นฟ้า ดาดาว เป็นจินตนาการที่ผู้เขียนประชดประชันและเสียดสีได้อย่างสนุกสนานและน่าสนใจ แต่หากมองลึกลงไปแล้ว ไม่ใช่เรื่องน่าขำสักนิด เพราะจินตนาการเหล่านั้นล้วนมีมูลจากความจริงที่เป็นอยู่ในโลกปัจจุบัน -
180.00
162.00 บาท
คุณผู้อ่านทุกคนคิดเหมือนกันกับผมหรือเปล่าว่าโลกนี้มันช่างเต็มไปด้วยการหลอกลวง สินค้าปลอมแปลงบ้าง มิจฉาชีพต้มตุ๋นบ้าง ฟอร์เวิร์ดเมลข่าวไม่จริงบ้าง วันนี้ผมก็เลยหยิบยกหนังสือเล่มหนึ่งที่ช่วย (หรือน่าจะช่วย) ให้คุณผู้อ่านรู้เท่าทันและไม่เชื่อคนง่ายจนเกินไป หนังสือเล่มนี้ก็คือำครับ นั่นแหละครับชื่อหนังสือ สั้นๆ เพียงสระอำตัวเดียวนี่แหละครับ แต่ภายในบรรจุเรื่องสั้นเชิงสารคดีไว้หลายเรื่อง (ผู้แต่งคือคุณวินทร์ เลียววาริณเรียกงานเขียนนี้ว่า "หรรษารคดีแห่งการอำ") ที่รวมเรื่องจริงกับเรื่องโกหกเข้าด้วยกันอย่างไม่น่าเชื่อสิ่งที่เรื่องสั้น (หรือบทความ) แต่ละเรื่องมีนั่นคือ เนื้อเรื่อง คำลงท้าย และคำเฉลยว่าเรื่องนี้เป็นเรื่อง ำ หรือว่าไม่ ำ บางทีบางครั้งเมื่ออ่านคำเฉลยท้ายเรื่องอาจจะหัวเราะหงายท้องจนตกเก้าอี้ หรือไม่ก็นึกในใจว่า "เชี่ย... มั่วกันยังงี้เลยเหรอวะ" เลยก็ได้ แต่เหนือไปกว่านั้น แต่ละเรื่องยังแทรกคำคมอะไรที่น่าคิดไว้ท้ายเรื่องเสมอลองไปหาอ่านดูสิครับ แล้วหนังสือที่มีชื่อแค่สระตัวเดียวเล่มนี้จะทำให้คุณรู้ว่าตัวเองถูกหลอกได้ง่ายแค่ไหน -
290.00
261.00 บาท
Win Lyovarin is a not only a good author but also a talented marketer. His latest book A Day in a Life, a collection of short stories published in the teenager magazine A Day, shows this quite well. With an intensive background in advertising, the noted author knows well how to adapt his writing style to appeal to the new generation. Instead of expressing social issues with text alone, A Day in a Life also comes with attractive graphics designed to introduce teenagers to the book (if not literary) world.The understandable information is presented in 55 short stories focusing on challenges facing Thai society. Once story addresses corruption in the vast governmental bureaucracy. In other stories, a poor boy steals money to buy a hamburger, and a traffic police fights to over come lung cancer. In this book, the 1997 Sea Write Award winner for the book Prachathipatai Bon Senkhanan (Democracy, Shaken & Stirred) goes far in using short stories that together form a broader tale describing the basic problems Thailand is trying to overcome. -
185.00
166.50 บาท
ครั้งหนึ่งผมเคยไปเดินดูหนังสือที่ร้าน Kinokuniya บนสยามพารากอน เจอหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อว่า 1001 Movies You Must See Before You Die เป็นหนังสือที่นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับหนัง 1001 เรื่องที่คุณควรจะดูก่อนจะตายจากโลกนี้ไป ใจหนึ่งก็คิดว่า อะไรมันจะขนาดนั้น อีกใจหนึ่งก็อดรู้สึกถึง “มิติที่ลึกกว่า” ในการนำเสนอข้อมูลของพวกฝรั่งไม่ได้ คือเขาจะทำออกมาในเชิงเอกสารวิชาการมาก อาจจะว่าเอาไว้อ้างอิงหรือค้นคว้าได้เลย แม้ว่าจะมีหนังสือนิยาย (จำลองชีวิตในรูปแบบความฝัน แล้วผลิตออกมาในรูปแบบนิยาย) ในรูปแบบใหม่ออกมาให้อ่านกันปีละหลายพันเล่ม และมีหนังถูกสร้างออกมาให้ดูปีละนับพันเรื่อง แต่หนังสือและหนังที่ยอมรับว่าเป็นงานคลาสสิกนั้น เป็นสิ่งที่เราๆ ท่านๆ ควรหาโอกาสสัมผัสสักครั้ง เพื่อจะได้รู้ว่ามันดีอย่างไร จริงๆ แล้วผมเองก็ชอบทั้งดูหนัง อ่านหนังสือ แล้วก็มีโอกาสได้ดูหนังดีๆ อ่านหนังสือดีๆ ค่อนข้างมาก เพียงแต่ว่าสาระที่นำมาคิด หรือผลพลอยได้อาจจะไม่มากเท่าที่คนทำหนังหรือคนทำหนังสือเขาอยากนำเสนอเท่านั้นเอง การได้ดูหนังดีๆ สักเรื่อง หรืออ่านหนังสือดีๆ สักเล่มในช่วงเวลาที่เหมาะสม จะช่วยให้เรามองเห็นโลกในอีกมุม หรือช่วยสร้างมุมมองให้เรา กระทั่งเป็นไกด์ไลน์ให้กับเราได้ จึงไม่น่าแปลกใจที่เราจะมีวรรณกรรมแนะนำสำหรับเยาวชน หนังสืออ่านนอกเวลา มีหนังสำหรับเด็ก สำหรับคนดูบางคน หนังบางเรื่องไม่เพียงสร้างความประทับใจ แต่กลับสร้างความทรงจำให้กับชีวิต หนังสือบางเล่มกลายเป็นคัมภีร์ทีหยิบมาอ่านได้เสมอ เหมือนคนบางคนใช้ชื่อว่า กัมป์, พินอคคิโอ, U571, 1900 เป็นชื่อเล่นในอินเทอร์เน็ต ซึ่งอาจจะเป็นความประทับใจของเขาต่อตัวละครเหล่านั้น หนังสือ นิยายข้างจอ ของวินทร์ อ่านเพื่อความบันเทิงก็ได้ หรืออ่านเพื่อสาระ และเก็บไว้อ้างอิงก็ได้ รูปแบบการเขียนนั้น เน้นเอาความรู้สึกของคนมาเกี่ยวพันกับหนังมากกว่า แต่ในขณะเดียวกันก็มีการรวมกลุ่มหนัง หรือหนังสือที่เกี่ยวข้องกันมาไว้ด้วยกันด้วย โดยรวมแล้ว วินทร์พูดถึงหนังชั้นดีหลายๆ เรื่อง และหนังสือวรรณกรรมชั้นเยี่ยม อีกหลายเล่ม ทั้งหนังฮอลีวูด หนังไทย และหนังจีน ส่วนหนังสือก็มีทั้งหนังสือไทย หนังสือฝั่งอเมริกา หรือหนังสือนิยายกำลังภายใน ที่โดนใจผมน่าจะเป็นการวิเคราะห์เจาะลึกถึงกลยุทธ์กลไกของหนังสือ หรือหนังแต่ละเรื่องที่ประสบความสำเร็จ โดยเชื่อมโยงว่า มันเกี่ยวกับ 'ความรู้สึก' หรือ 'จิตใต้สำนึก' ของผู้คน แต่ไม่ได้รวมถึงการนำเสนอด้านมืดแม้ว่าจะมีหนังอีกหลายเรื่องที่น่าจะนำมาขบคิดหรือพูดถึง หรือหนังสือนิยายอีกหลายเล่มที่วินทร์ไม่ได้นำมาเสนอในหนังสือเล่มนี้ แต่มันก็ยังเป็นหนังสือระดับอ้างอิงหนัง/หนังสืออมตะที่ควรอ่านจริงๆ -
170.00
153.00 บาท
จรูญจรัสรัศมีพราว พร่างพร้อยด้วยความที่เป็นคนที่ไม่มีหัวทางวิชาสายคณิต-วิทย์เอาเสียเลย ขนาดตอน ม.ปลาย เรียนวิทย์ กายภาพ ที่หลายๆ คนว่าเป็นวิทย์แบบปัญญาอ่อนก็แล้ว ก็ยังไม่วายต้องสอบซ่อมทุกครั้งไป ก็เราเป็นคนไม่คิดที่จะยึดเอาศาสตร์ด้านนี้เป็นสรณะในการดำเนินชีวิตนี่นา ดังนั้นระหว่างวิชาเรียนพวกนี้ เราจึงมักจะเนรเทศตัวเองออกไปสู่โลกของศิลปะและวรรณกรรม (แอบอ่านนิยายในห้องเรียนนั่นเอง) บ่อยครั้งมักจะไปพูดคุยกับตัวละครของ ว.วินิจฉัยกุล บ้าง ทำความรู้จักกับพระเอกผู้มีอุดมการณ์ของศรีบูรพาบ้าง อ่านงานวรรณกรรมแทบทุกชนิด ยกเว้นก็แต่ วรรณกรรมแนววิทยาศาสตร์ สมัยเด็กเคยอ่านงานแปลของ ไอแซค อาซิมอฟ เหนื่อยมาก และไม่ค่อยจะรู้สึกถึงความบันเทิงสักเท่าไรนัก ก็เลยหลีกเลี่ยงงานแนวไซไฟมาตลอด เพราะรู้สึกว่าไม่ค่อยจะถูกกัน แต่เมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วนี้เอง มีคนยื่นรวมเรื่องสั้นแนวไซไฟมาให้อ่าน นั่นคือ "จรูญจรัสรัศมีพราว พร่างพร้อย" ของ วินทร์ เลียววาริณ ตอนแรกว่าจะไม่อ่านด้วยเหตุผลข้างต้น เพราะเคยเลี่ยง เดือนช่วงดวงเด่นฟ้า ดาดาว มาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนี้ ความชอบในตัววินทร์ในใจเรามันเพิ่มขึ้นกว่าเมื่อก่อน จาก ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน และ สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน ทำให้รวมเรื่องสั้นแนวไซไฟนี้มันยั่วน้ำลายเราเสียเหลือเกิน พอได้อ่านแล้วก็ไม่ผิดหวังจริงๆ วินทร์ก็ยังคงเป็นวินทร์ที่มักจะคิดอะไรได้คมคายเสมอเริ่มจากเรื่องแรก "คนเสเพล" ที่เสนอภาพการทำลายดวงดาวเพราะความเห็นแก่ตัวของมนุษย์กลุ่มหนึ่ง เพียงเพื่อหวังจะสร้างผลกำไรให้กับตัวเอง"ผีเสื้อกับดอกไม้ไฟ" ที่สะท้อนภาพความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในใจมนุษย์อันเนื่องมาจากสงคราม และสงครามที่ไม่เคยให้สิ่งดีๆ แก่ใครเลยและผนวกเข้ากับแนวคิการทำลายกับระเบิดด้วยแบคทีเรีย"ครรภ์ปริศนา" เล่าเรื่องราวเล่ห์เหลี่ยมทางการเมืองของนักการเมืองในโลกอนาคตที่เลวร้าย ไม่ต่างจากนักการเมืองในโลกปัจจุบัน รัฐมนตรีตงฉินคนหนึ่งต้องถูกใส่ร้ายว่าได้ร่วมหลับนอนกับลูกสาวของตนจนตั้งครรภ์ ด้วยฝีมือของคนกลุ่มหนึ่งที่หวังจะให้รัฐมนตรีคนนี้หลุดจากตำแหน่ง"ของฝากข้ามฟากฟ้า" ที่ใช้การเล่าเรื่องแบบธรรมด๊าธรรมดา แต่นำมาผูกโยงกับความเชื่อของนักดาราศาสตร์ว่าในจักรวาลอันกว้างใหญ่มีบางจุดที่เชื่อมถึงกัน ทำให้ของสิ่งของต่างๆ หลุดหายแล้วไปโผล่ที่อีกฝั่งหนึ่งของจักรวาล แต่เรื่องราวก็ไม่พ้นความไร้ความรับผิดชอบของคน จนเรื่องบานปลาย"เกมพระพรหม" ที่บอกเรื่องราวความดำมืดในจิตใจคนในการช่วงชิงชื่อเสียงในการเป็น เจ้าของผลงานสิ่งประดิษฐ์ชิ้นสำคัญ จนทำให้มิตรภาพของเพื่อนรักทั้งสองคนต้องขาดสะบั้น"ในห้วงมืด" ที่สะท้อนคำพูด "จุดประสงค์เดียวของความคงอยู่ของมนุษยชาติ คือการจุดไฟใน ความมืดมนของความคงอยู่นั้น" ของ คาร์ล ยุงก์ ด้วยการเล่าเรื่องด้วยภาพแบบการ์ตูนช่อง เริ่มจากภาพยานอวกาศลอยอยู่ในอวกาศที่มืดมิด ต่อมาก็มีมนุษย์ลอยออกมาจากยาน ภาพต่อๆ มา ก็ปรากฏข้อความที่เราสามารถเห็นได้ตามกำแพงโรงเรียนและห้องน้ำสาธารณะ ถือเป็นการใช้ภาพเล่าเรื่องสะท้อนแนวคิดอภิปรัชญาได้อย่างมีอารมณ์ขันและคมคาย"สงครายูโรปา" เรื่องราวความรักระหว่างสงครามดวงดาว และความละโมภโลภมากของคนที่อยากแต่จะครอบครองดินแดนของคนอื่นเพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ ส่งผลให้เกิดการฆ่าฟันกันไม่มีที่สิ้นสุด"บริโภคนิยม" ที่มุ่งเสนอการเสียดสีประชดประชันถึงกระแสบริโภคนิยมที่มุ่งแต่จะโฆษณาขายสินค้าโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด ด้วยความที่วินทร์เคยทำงานอยู่ในวงการโฆษณามาหลายปี คงทำให้เขาเข้าใจสงครามมาร์เกตติ้งเป็นอย่างดี จนเขียนเรื่องแนวเหนือจริงและประชดประชันได้อย่างมีอารมณ์ขันแบบหาตัวจับยากได้เช่นเรื่องนี้"นิทานหิ่งห้อย" ดำเนินเรื่องแบบนิทานประกอบภาพสำหรับเด็กที่เล่าเรื่องการค้นหาพลังงานใหม่ การดึงพลังงานจากดวงดาวบนท้องฟ้า จนทำให้ดวงดาวเหล่านั้นดับแสงไปทีละดวง จนในที่สุดท้องฟ้าก็เหลือเพียงความมืดมิด การเล่าเรื่องด้วยภาพประกอบคำพูดไม่กี่ประโยค แต่เหตุใดมันจึงส่งพลังและเศร้าสร้อยเสียเหลือเกิน"จรูญจรัสรัศมีพราว พร่างพร้อย" เนื้อเรื่องพระอภัยมณีที่ถูกนำมาดัดแปลงในแบบฉบับของ วินทร์ แสดงถึงความชื่นชมในตัวครูกวีสุนทรภู่ของวินทร์ และหากจะว่ากันไปแล้ว สุนทรภู่ก็ถือเป็นผู้ริเริ่มผลงานแนววิทยาศาสตร์แบบแฟนตาซี เช่นเรื่อง พระอภัยมณี ทำให้เราเห็นความตั้งใจของวินทร์ในการจะนำเอาการเขียนเชิงวิทยาศาสตร์ ที่เราๆ เข้าใจว่า เป็นอิทธิพลจากตะวันตก ให้กลายเป็นเรื่องแบบไทยๆ มากยิ่งขึ้นหลังจากอ่านจบหมดทั้งเล่ม จุดๆหนึ่งที่ผมสังเกตได้คือ งานของวินทร์เล่มนี้ยังมิใช่งานแนววิทยาศาสตร์แท้แบบฝรั่ง เพราะจุดเด่นของงานในแต่ละเรื่อง มักจะเป็นการนำเอามุมมองเล็กๆ ทางวิทยาศาสตร์เข้ามาผสมผสานกับพล็อตเรื่องแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสังคม แนวสืบสวน สอบสวน ผจญภัย นี่กระมังที่ทำให้ผมอ่านมันได้อย่างเพลิดเพลิน และไม่หนักจนเกินไป นับเป็นการผนวกเอาจินตนาการ ความเป็นจริงในสังคม และหลักวิทยาศาสตร์มาร้อยเรียง เข้าด้วยกันอย่างสวยงาม อ่านแล้วได้ทั้งความบันเทิง และความรู้ที่จะมาเปิดโลกทัศน์ใหม่ๆ ให้กับคนที่ห่างไกลจากวิทยาศาสตร์อย่างผมเสียจริงๆ -
215.00
193.50 บาท
ถ้ามีใครถามเราว่า หนังสือ ปลาที่ว่ายในสนามฟุตบอล นั้นเกี่ยวกับอะไร เราคงบอกว่ามันเกี่ยวกับคนและโลกถ้าคำตอบนั่นกว้างเกินไป มันเกี่ยวกับทุกอย่างรอบๆ ตัวเรา ความเชื่อ วิทยาศาสตร์ ปรัชญา สังคม และชีวิต เกี่ยวกับการที่คนเราอยู่ในโลกและมองโลกใบนี้ หนังสือเล่มนี้พูดถึงเรื่องต่างๆ ครอบจักรวาล ตั้งแต่โลกและจักรวาล มนุษย์ต่างดาว ความรัก พรหมลิขิต ชาติ ศาสนา ปรัชญา ไสยศาสตร์ โหราศาสตร์ พลังจิต ฮวงจุ้ย ศิลปะ ไปจนถึง conspiracy theoryแต่คอนเซปต์ของเรื่องนี้คือการมองโลกโดยใช้ปัญญาหนังสือชื่อแปลกเล่มนี้เขียนในสไตล์แปลก เราไม่รู้ว่าควรจัดเข้าหมวดไหน มันเป็นหนังสือกึ่งเรื่องแต่ง กึ่งคุย กึ่งบทความ กราฟฟิครูปเล่มสวยมากๆ (ถ้าหนังสือทุกเล่มในไทยจัดหน้าได้ประมาณนี้ เราคงอภิมหาแฮปปี้) การจัดหน้า ภาพประกอบจำนวนมากที่เอามาเล่นเป็นชาร์ตบ้าง อะไรบ้าง ทำให้การเข้าใจเรื่องราวเป็นไปโดยง่าย ทั้งที่เนื้อหาควรจะเข้าใจยากปลาที่ว่ายในสนามฟุตบอล เป็นหนังสือที่ให้ข้อมูลในประเด็นมากมาย และไม่ใช่ว่าไม่มี 'ระหว่างบรรทัด' ที่บอกว่าคนเขียนคิดอย่างไรกับประเด็นที่ถูกพูดถึง (รวมถึงชี้นำคนอ่านให้คิดตาม) ในบางประเด็น ระหว่างบรรทัดชัดเสียจนจะกระเด็นขึ้นมาบนบรรทัดด้วยซ้ำ ผู้เขียนมองว่าคนจำนวนมากติดกับอยู่กับ 'ความเชื่อ' แต่บางเรื่อง...เราว่าคนเขียนก็ติดกับกับ 'ความไม่เชื่อ' ของตัวเองเหมือนกัน ไม่เชื่อจนลืมมองมุมกลับ หรือมองบางสิ่งบางอย่างเป็นองค์รวมเกินไป (เช่นพูดถึงโหราศาสตร์เกือบทุกแขนงในลักษณะเหมา ซึ่งความจริงแต่ละแขนงต่างกันมากๆ) และทำให้เหตุผลที่ยกขึ้นมาโต้อ่อนลง และมีรอยโหว่ที่แย้งได้ว่ามันไม่พอที่จะนำมาตั้งข้อสรุป (ผู้เขียนตั้งแต่ 'ข้อสังเกต' ไม่ใช่ข้อสรุป แต่เหมือนที่บอก เราจะเห็นข้อสรุปอยู่ระหว่างบรรทัด)แต่ (อีกที) ถามว่าหนังสือเรื่องนี้อ่อนด้อยลงไปเพราะเหตุนี้ไหมเราคิดว่ามีบ้าง แต่ไม่มากเพราะคุณค่าของหนังสือไม่ใช่การทำให้คนเชื่อ หรือไม่เชื่อ แต่เป็นการสะกิดให้ทบทวนความเชื่อหรือไม่เชื่อนั้นๆเพราะเป็นหนังสือสไตล์กึ่งคุย มันจึงมีมุมมองของผู้เขียนปะปนอย่างเลี่ยงไม่ได้ เราอาจเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย เชื่อหรือไม่เชื่อสิ่งที่หนังสือบอกมาก็ได้ ตัวเราเองก็ไม่ได้เห็นด้วยกับสิ่งที่ผู้เขียนคิดไปทุกอย่าง แต่เชื่อว่านี่เป็นหนึ่งในหนังสือที่จะเตือนให้เราหันกลับมาถามตัวเองว่า เราเชื่อสารที่ออกมาตามสื่อต่างๆ ง่ายเกินไปหรือเปล่า หรือสำหรับคนที่เชื่อยากจนมองเห็น conspiracy theory ในแทบทุกเรื่อง เราคิดมากเกินไปไหม?เราได้ใช้ 'ปัญญา' ในการคิดพิจารณาอะไรสักอย่าง หรือเราแค่ฟัง และตัดสินใจจะเชื่อในสิ่งที่อยากจะเชื่อ? สิ่งที่เราฝังหัวมา? สิ่งที่เราคิดว่า 'ต้องเป็น'?เราดึงหลักฐานต่างๆ ที่จริงๆ แล้วไม่ใช่หลักฐาน มาหนุนความเชื่อตัวเองหรือไม่?โดยส่วนตัวแล้ว เราคิดว่าโลกนี้มีอะไรบางอย่างที่ยังอยู่เหนือความเข้าใจของเรา เราคิดว่าทุกอย่างไม่ได้อธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์ (ในปัจจุบัน และอาจตลอดไป) เพราะที่สุดแล้ว วิทยาศาสตร์ก็ยังคงพัฒนาไปเรื่อยๆ และมีอีกมากมายที่โลกแห่งวิทยาการยังค้นไม่พบ และวิทยาศาสตร์ในสายตาเราก็ยังไม่ใช่ 'อาวุธทางปัญญาที่ดีที่สุด' อย่างคนเขียนบอก แต่เราก็เชื่อว่าหลายสิ่งหลายอย่างอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์ และคุ้มค่าที่เราจะลองมองมันในมุมนั้น มุมกลับของคำว่า 'ไม่เชื่อแต่อย่าลบหลู่'เราคิดว่าสิ่งต่างๆ ในหนังสือเล่มนี้ เราต้องแยกแยะและเลือกที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อด้วยตัวเราเอง เหมือนที่กาลามสูตรว่าไว้นั่นแหละ อย่าเชื่อจนกว่าจะพิจารณาเห็นด้วยปัญญาแล้วว่าอะไรมีประโยชน์และโทษอย่างไร และถ้าเลือกที่จะไม่เลือกทั้งเชื่อและไม่เชื่อ ก็คงไม่ผิดแต่ไม่สำคัญว่าเราเชื่ออะไรหลังอ่านหนังสือเล่มนี้จบลง สำคัญที่ว่า เมื่อปิดหนังสือเล่มนี้ลง เราเข้าใจในการเลือกที่จะเชื่อ หรือเข้าใจในสิ่งต่างๆ อย่างมีเหตุผล และมีราก เรามองโลกด้วยสายตาที่สว่างและกระจ่างขึ้น...ไม่มากก็น้อยนี่เป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่เราคิดว่าดี และถึงใครไม่อยากซื้อหนังสือเล่มนี้ไปอ่านดู เราก็อยากให้ไปที่ร้าน และหยิบหนังสือเล่มนี้พลิกขึ้นมาอ่านสองหน้าสุดท้ายของเนื้อหา สิ่งที่เรากินใจที่สุดในหนังสือเล่มนี้อยู่ในสองหน้านั้น เป็นบทสรุปที่ดี และอาจจะทำให้เราเห็นอะไรหลายอย่างและนึกอยากทำอะไรหลายอย่าง... ละมังนะ -
235.00
223.25 บาท
เมื่อคู่กัดต้องมาใช้ชีวิตคู่ด้วยกันในฐานะสามีภรรยา เรื่องราวโหดมันฮาจึงเริ่มต้นขึ้นพร้อมกับเรื่องราวของหัวใจที่นับวันยิ่งหวิวหวาม หวั่นไหวจนเกินห้ามใจไม่ให้รักเธอ -
245.00
196.00 บาท
ทำไมต้องอ่านหนังสือ The Secret (เดอะ ซีเคร็ต)หนังสือ The Secret ติดอันดับขายดีทั่วโลกที่สร้างปาฏิหาริย์ให้ชีวิตคนนับล้าน มีคนมากมายที่ได้รับแรงบันดาลใจจากหนังสือ The Secretเล่มนี้ ได้เปลี่ยนแนวคิด เปลี่ยนชีวิตไปในทางที่ดีขึ้นทุกด้าน ทั้งด้าน การเงิน การงาน สุขภาพ ความรัก ความสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้าง การมองโลกในแง่ดี และมีความสุขหนังสือ The Secret ติด Best Seller ขายมากกว่า 5 ล้านเล่ม ภายใน 6 เดือนในประเทศสหรัฐอเมริกาหนังสือ The Secret ได้รับการติดต่อซื้อลิขสิทธิ์แปลเป็นภาษาต่างๆ ถึง 35 ภาษาทั่วโลกคุณรอนดา เบิร์น (Rhonda Byrne) ผู้เขียนหนังสือ The Secret เป็น 1 ใน 100 ผู้ทรงอิทธิพลของโลก จัดอันดับโดยนิตยสาร Times และ ผู้แปลผู้เขียนหนังสือ The Secret คือ จิระนันท์ พิตรปรีชา กวีซีไรท์ นักเขียน นักแปล ที่มีผลงานโดดเด่นมากมายในวงการหนังสือไทยผู้เขียนหนังสือ The Secret รูปเล่ม สวยงาม ขนาดพอเหมาะ อาร์ตเวิร์คสวยงาม อ่านง่าย มีบทสรุปในแต่ละบท ช่วยจำ เพื่อง่ายและสะดวกแก่การนำไปปฏิบัติตามหนังสือ The Secret (เดอะ ซีเคร็ต) จะเผยความลับที่จะทำให้คุณสมความปรารถนาทุกประการ รวมข้อแนะนำ ประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญ ผู้นำทางความคิดมากมาย หนังสือ The Secret (เดอะ ซีเคร็ต) จะแนะนำวิธีการสร้างแรงดึงดูด ที่ทุกคนสามารถนำไปใช้ได้จริงในทุกๆด้านของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน การเรียน ความรัก ครอบครัว เมื่อเดินถูกทางย่อมเห็นผลเร็วและชัดเจน ใครจะอยากปฏิเสธชีวิตที่ตนเองต้องการบ้าง ใครอยากจะจมปรักกับปัญหาเดิมที่ไม่เคยแก้ไขได้ ใครอยากจะสิ้นหวังไปตลอดชีวิต ใครๆก็อยากจะมีชีวิตที่ดี ตามที่ตนเองปรารถนาด้วยกันทั้งนั้น หนังสือ THE SECRET จะช่วยนำทางให้ได้พบกับสิ่งที่ต้องการในชีวิตความรัก ควมศรัทธาในตัวเอง การเห็นคุณค่าในตัวเอง ซึ่งเป็นความคิดเชิงบวกจะดึงดูดสิ่งดีๆเข้ามาสู่ชีวิตคุณ ในทางตรงข้าม ความเศร้า ความน้อยเนื้อต่ำใจ การคิดถึงแต่อดีตที่เลวร้าย มันก็จะดึงดูดสิ่งร้ายเข้ามาในชีวิตคุณเช่นกัน The Secret มองเห็นศักยภาพในตัวคุณทุกคน ว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตได้ เพียงคุณเข้าใจกฎแรงดึงดูด คุณพร้อมที่เปิดใจและก้าวไปข้างหน้ากับ “THE SECRET” ความลับสร้างชีวิตหรือยังหนังสือ THE SECRET ผลงานการเขียนของ รอนดา เบิร์น ได้รับการเผยแพร่ไปทั่วโลกด้วยการแปลเป็นภาษาต่างๆ ซึ่งสำหรับภาคภาษาไทย เดอะซีเคร็ต ถูกแปลโดยคุณจิระนันท์ พิตรปรีชา นักเขียนผู้มีความสามารถของไทย หนังสือเล่มนี้ได้รับการยอมรับอย่างมากจากนักอ่านไทย ตั้งแต่วันเปิดตัวหนังสือ จนกลายเป็นหนังสือขายดีติดต่อกัน 2 ปีซ้อน หนังสือเล่มนี้มีอะไรน่าสนใจ ทำไมคนถึงอ่านกันมาก หากคุณไม่อยากพลาดหนังสือที่ได้รับความนิยม หากคุณไม่อยากต้องสงสัยในความเป็นหนังสือยอดนิยมของ THE SECRET คุณก็ไม่ควรพลาดที่จะซื้อมาอ่าน ร้านหนังสือนายอินทร์พร้อมจะร่วมกันเปิดเผยความลับของหนังสือ THE SECRET ไปกับนักอ่านแล้ว คุณจะรู้ว่าความลับสามารถสร้างปาฏิหาริย์ให้กับชีวิตคุณได้ -
285.00
256.50 บาท
นางฟ้าจอมแก่น จากสำนักพิมพ์แก้วกานต์ นวนิยายรักอีกเล่มหนึ่งที่อ่านแล้ววางไม่ลงค่ะ เมื่อนางเอกแก่นเซี้ยว แถมใจกล้า ออก "ล่า" ชายในฝันที่เธอหลงรัก โดยกลยุทธ์ต่าง ๆ ที่เธอจะใช้ในการล่าครั้งนี้ ก็ต้องมีการฝึกฝีมือก่อนนำไปใช้จริง ซึ่งเธอดันใช้พระเอกสุดหล่อของเราเป็นหนูทดลอง งานเข้าหละค่ะที่นี้ ใครที่เป็นคอนิยายของแก้วกานต์พลาดเล่มนี้เสียดายแย่ค่ะ :) Bookworm by fan page Katai Thubthong -
219.00
197.10 บาท
หนังสือเล่มนี้เมื่อได้เปิดอ่านแล้วทำให้เกิดรอยยิ้ม และความรู้สึกสนุกสนานของวัยเยาว์ ในทุกๆครั้งที่พลิกหน้ากระดาษ การมีความสุขในช่วงเวลาพิศวงที่ตนเป็นผู้ค้นพบในสวนลึกลับ ทำให้เกิดการรอคอยช่วงเวลาที่จะได้เข้าไปสัมผัสเวลาอันแสนสุขอย่างใจจดใจจ่อ เมื่ออ่านแล้วจึงทำให้แอบลุ้นและแอบรอคอยเวลานั้นเช่นเดียวกับทอมเด็กชายที่รอคอยสวนเที่ยงคืนอยู่ทุกวินาที เมื่ออ่านจบจะรู้สึกประทับใจ อิ่มเอมใจ และแอบหวังเล็กๆว่า นาฬิกาที่บ้านจะตีสิบสามครั้ง ตอนเที่ยงคืน เพื่อพาไปพบกับความสุข พิศวง ในสวนเที่ยงคืน ... -
160.00
144.00 บาท
นกเพนกวินขายบริการทางเพศกันด้วย ตัวงูจะระเบิดถ้ากินยาลดกรดเข้าไป ฉลามถูกจับหงายท้องแล้วจะสลบ ปลิงคือสุดยอดนักพยากรณ์อากาศ -
139.00
125.10 บาท
เรียนรู้ความตายด้วยหลักของมรณานุสติจากชายผู้เปลี่ยนโลก...สตีฟ จอบส์ "ความสำนึกว่าผมจะต้องตายในไม่ช้า เป็นเครื่องมือสำคัญที่สุดที่ผมรู้ จักที่ผมใช้ในการตัดสินใจครั้งสำคัญๆ ของชีวิต เพราะเกือบทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นความคาดหวัง ความภูมิใจ ความกลัวการหน้าแตก และความผิดพลาดทั้งหลาย ล้วนไม่มีความหมายอะไรเลยเมื่อเทียบกับความตาย เหลือเพียงสิ่งที่สำคัญจริงๆ เท่านั้น มาณานุสติเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ผมรู้ ที่จะหลุดพ้นจากบ่วงความคิดที่ว่าเรามีอะไรต้องเสีย เราทุกคนเปล่าเปลือยอยู่แล้วครับ ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่เราจะไม่ทำตามสิ่งที่ใจเราต้องการ -
255.00
229.50 บาท
อ่านได้เพลิน ไหลลื่น บรรยายได้หวานๆ น่ารัก กุ๊กกิ๊ก แอบลุ้นว่านางเอกจะทำอย่างไร เมื่อมีหนุ่มหล่อเข้ามาป่วนเปี้ยนในหัวใจของเธอตั้งสองคนพร้อมๆกัน คนหนึ่งก็อดีตชายในฝันเมื่อตอนเด็ก อีกคนก็นักร้องหนุ่มซุเปอร์สตาร์เข้ามาเดินเล่นในหัวใจ อ่านแล้วแอบลุ้นไปกับเธอ แถมแอบคิดในใจว่าถ้าเป็นเราจะทำยังไงนะ ? -
170.00
153.00 บาท
โอกาสที่โยนเหรียญแล้วออกหัวมีอยู่เท่าไหร่ น้ำจะกลายเป็นน้ำแข็งที่อุณหภูมิเท่าไหร่ คุณคิดว่าใส่เสื้อผ้าลายไหนทำให้ดูผอม สิ่งมีชีวิตที่เป็นอมตะมีอยู่บนโลกใบนี้หรือไม่ จะเกิดอะไรขึ้นหากแช่ฟันไว้ในน้ำโค้กตลอดทั้งคืน เวลาเลือดกำเดาไหลควรทำอย่างไร ระหว่างคนกับลิงใครมีขนมากกว่ากัน -
120.00
108.00 บาท
อาจมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ "บังเอิญ" เกิดขึ้นในชีวิต แต่ความสำเร็จนั้นเกิดขึ้นด้วยตนเองและมิใช่ "บังเอิญ" แน่นอน -
450.00 บาท
นายอินทร์ ผู้ปิดทองหลังพระหนังสือเรื่อง "นายอินทร์ ผู้ปิดทองหลังพระ" พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้เวลาว่างวันละเล็กละน้อย แปลจากต้นฉบับภาษาอังกฤษ เรื่อง "A man called Intrepid" ของ William Stevenson เป็นเวลาประมาณสามปี (ระหว่าง ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๓๐ ถึง ๒๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๓) จึงจบบริบูรณ์ เอกสารแปลเรื่องนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เคยพระราชทานแก่ ผู้ทรงรู้จักคุ้นเคยเมื่อทรงแปลเสร็จ แต่ยังมิได้เคยรวบรวมจัดพิมพ์ขึ้น เนื่องในวโรกาสที่ทรงจำเริญพระชนมายุ ๖๖ พรรษา ณ วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๖ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายเพื่อหารายได้สมทบทุนมูลนิธิชัยพัฒนา -
250.00 บาท
ติโต พระราชนิพนธ์แปลในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่คนไทยควรอ่านอย่างที่ทราบกันดีถึงพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชนั้นมีอยู่มากมาย ท่านทรงเป็นกษัตริย์ที่ทรงพระปรีชาสามารถโดดเด่นในด้านภาษาและวรรณกรรม สามารถใช้ภาษาต่างประเทศได้ถึง 4 ภาษา ได้แก่ ภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน และละติน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงฝึกภาษาจากการอ่าน พระองค์ท่านทรงมีความรู้ทางรากศัพท์ดีมาก ทรงโปรดใช้ศัพท์สูงที่เรียกว่า rare words เป็นคำแปลกๆ ที่ไม่แพร่หลาย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงแปล เรื่องติโต ซึ่งเป็น 1 ใน 2 เล่มที่ทรงแปล อีกเล่มคือนายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระทรงแปล ติโต จากต้นฉบับเรื่อง “Tito” ของ Phyllis Auty (ฟิลลิส ออตี้) โดยผู้เขียนต้นฉบับ ติโต เป็นอาจารย์จากมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดที่เชี่ยวชาญการเมืองภาคยุโรปตะวันออก ทั้งนี่เคยเป็นนักข่าวคนแรกที่ได้สัมภาษณ์ “ติโต” อีกด้วย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงใช้เวลาแปลหนังสือ ติโต ประมาณ 6-7 เดือน ยอซีป บรอซ หรือ ติโต รัฐบุรุษและประธานาธิบดีของประเทศยูโกสลาเวีย สามารถรวมคนที่แตกต่างกันทั้งด้านเชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ ให้กลับมารวมกันเป็นปึกแผ่นในยามวิกฤต และสามารถต่อต้านสตาลินได้อีกด้วยระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ติโตเข้าประจำการเป็นทหารในกองทัพบกออสเตรีย-ฮังการี โดยจับเป็นเชลยโดยกองทัพรัสเซียและได้กลายเป็นคอมมิวนิสต์ในเวลาต่อมา ติโตถูกขังจองจำเนื่องจากการสมรู้ร่วมคิดต่อต้านระบอบการปกครองในยูโกสลาเวีย ต่อมาในปีเขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ และ ติโตได้จัดตั้งกองกำลังต่อต้านฝ่ายอักษะของนาซีเยอรมันที่ยึดครองประเทศ และสามารถเอาชนะกองกำลังข้าศึกที่มีอยู่ถึง 30 หน่วยได้ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีคอมมิวนิสต์คนแรก และต่อมาได้เสริมสร้างอำนาจของตนให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นโดยการเปลี่ยนเป็นประธานาธิบดี ติโตได้พาประเทศออกจากอำนาจของสหภาพโซเวียตภายใต้การปกครองของสตาลินและโคมินฟอร์ม พัฒนาประเทศตั้งตนเป็นประเทศคอมมิวนิสต์อิสระ (ลัทธิติโต) และ เป็นผู้ก่อตั้งสมาคมประเทศผู้ไม่ฝักไฝ่ฝ่ายใดเมื่อ “ติโต” สิ้นชีวิต ประเทศยูโกสลาเวียก็ค่อยๆ ล่มสลายลงจนกระทั่งมีสภาพแตกแยกอย่างที่เห็นกันทุกวันนี้ ส่วนคำว่าความหมายของคำว่า ติโต แปลว่า "นั่น-นี่" เป็นสมญานามที่ได้มาจากการชอบสั่งนั่นสั่งนี่เป็นประจำของเขาเมื่อมีอำนาจ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ ทรงแปลหนังสือ ติโต โดยใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย รวมทั้งการใช้โวหารเปรียบเทียบที่คมคาย “ความสามัคคีจะเกิดขึ้นได้ ส่วนหนึ่งมาจากการได้ผู้นำที่ดีและมีความยุติธรรม”ถือได้ว่า “ติโต เป็นแบบอย่างแห่งผู้นำที่มีความเพียร เป็นผู้ที่ฟันฝ่าอุปสรรคในทุกวิถีทางเพื่อสร้างความเป็นไท เชื่อว่าผู้อ่านเมื่อได้อ่าน ติโต หรือ หนังสือพระราชนิพนธ์เล่มอื่น ๆ จะได้ข้อคิดที่แฝงคติธรรมที่มีคุณค่าสำหรับผู้อ่านสามารถนำไปเป็นหลักคิดและการดำเนินชีวิตที่ดีต่อไปทั้งนี้ หนังสือพระราชนิพนธ์ ที่ทางร้านนายอินทร์ได้รวบรวมมาให้นักอ่านได้เลือกหานั้น นักอ่านสามารถเลือกชมและเลือกซื้อหนังสือพระราชนิพนธ์ เพื่ออ่านและสะสมคุณค่าจากหนังสือได้แล้ววันนี้ที่ร้านนายอินทร์ทุกสาขา ร้านนายอินทร์ยินดีให้บริการและให้คำแนะนำแก่นักอ่านทุกท่าน สำหรับท่านใดที่ไม่สะดวกกับการเดินทางมาที่สาขา สามารถเข้าเว็บไซต์www.naiin.com ของร้านนายอินทร์เพื่อเลือกชมและสั่งซื้อทางออนไลน์ได้เช่นกัน -
1,260.00
1,197.00 บาท
"ชุดสุภาพบุรุษจุฑาเทพ" เป็นนิยายพีเรียดที่สนุกมากๆ เลย กำลังจะถูกสร้างเป็นละครทางช่อง 3 ด้วย อีกทั้งผู้เขียนก็นามปากกาเดียวกับผู้เขียนที่แต่ง "บ้านไร่ปลายฝัน" นะคะ Bookworm by fan page Thanainan Siriruangwattana -
295.00
265.50 บาท
"The Hunger Game : Catching Fire"ปฏิเสธความแรงของภาพยนตร์ไม่ได้เลย จนต้องหามาอ่าน เมื่ออ่านแล้ว เราจะรู้สึกเหมือนเรากำลังร่วมเล่นในเกมส์นี้เลยล่ะแล้ว แคตนิส เอฟเวอร์ดีน จะทำให้คุณรู้ว่า "เพียงสะเก็ดไฟ ก็สามารถก่อเป็นไฟได้"Bookworm by fan page Monster Piccy -
425.00
382.50 บาท
"หากไร้ซึ่งความรัก ทุกสิ่งก็เป็นเพียงละครชั้นเลวเท่านั้น" หรือที่อาโอมาเมะคิด "...วิธีตายที่น่าพึงใจมีอยู่ในโลกนี้ด้วยหรือ"ตั้งแต่ตอนที่เห็น 1Q84 ทั้งสองเล่ม เห็นขนาดความหนากว่า 849 หน้า ก็แอบคิดอยู่ในใจว่า "จะต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะอ่านมันจบ นี่แค่เล่มแรกนะ" แต่เมื่อจับขึ้นมาแล้ว แค่อาทิตย์เดียวก็เรียบร้อย เพราะทั้งไอเดีย พล็อตเรื่องที่ทั้งแปลกและแหวกแนว แถมชวนติดตามล่าหาความจริงว่า ไอ้นั่นคืออะไร ไอ้นี่มันเป็นอะไรกันแน่ จริงๆ แล้วไอ้โน่นมันคือไอ้นู่นหรือเปล่า ปล่อยให้เดากันไปต่างๆ นานา วิ่งไล่ล่าทั้งความจริงในเรื่อง และยังไล่ล่าความคิดของมุราคามิอีก นี่เลยเป็นที่มาของสปีดการพลิกหน้ากระดาษแบบเร็วกว่าที่คิดไว้ ถ้าใครเริ่มเบื่อนิยายพล็อตธรรมดา ที่เปิดยังไม่ถึงครึ่งเล่ม ก็เดาตอนจบได้แล้ว เรื่องนี้เป็นหนังสืออีกชุดที่น่าิติดตามนะคะ -
139.00
125.10 บาท
เดอะ เมดิเอเตอร์ I ตอน รักเธอให้ตาย ซูซานน่าห์เห็นผี! ไม่ใช่แค่ตัวเดียวหรือสองตัว แต่เธอเห็นมันหมดทุกตัวเลย แล้วนั่นมันก็ออกจะเป็นเรื่องที่เกินทนสำหรับเด็กผู้หญิงมัธยมปลายคนหนึ่ง ผู้ต้องการแค่มีชีวิตที่สุขสงบ ปราศจากวิญญาณชาวบ้านมาเพ่นพ่านกวนใจและเมื่อเธอย้ายจากนิวยอร์กมาอยู่แคลิฟอร์เนีย ซูซานน่าห์ก็หวังว่าจะได้เริ่มต้นชีวิตที่ปลอดวิญญาณ แต่แค่เข้ามาในห้องนอนใหม่ เธอก็เจอผีเสียแล้ว จะดีอยู่หน่อยก็ตรงที่เขาหล่อ แต่ก็แล้วไงล่ะ จะหล่อแค่ไหนก็ยังเป็นผีอยู่ดี แถมเป็นผีที่ออกจะลึกลับเสียด้วย แต่ซูซานน่าห์ก็ไม่มีเวลามานั่งกังวลใจเรื่องผีสุดหล่อในห้อง เพราะที่เธอคิดไปว่าจะได้มีชีวิตดีๆ ที่แคลิฟอร์เนียนั้น มันดูจะเป็นไปไม่ได้เลย แต่นี้ต่อไป เธอจะต้องมาพัวพันกับผีที่แคลิฟอร์เนียหลายตัว ที่ทำเอานักเจรจาอย่างเธอต้องทำตัวเป็นทั้งนักสืบและนักสู้ แถมเธอยังพบว่าไฮสกูลในแคลิฟอร์เนียที่แสนจะยุ่งวุ่นวาย เพื่อนนักเรียนแต่ละคนทั้งแสบทั้งร้าย ไม่แพ้ผีที่ตายในเมืองแดดสวยแห่งนี้เลย...มีทั้งหมด 6 เล่มจบ เรื่องนี้สนุกมากๆค่ะ อ่านแบบข้ามวันกันเลยทีเดียว อ่านยิ่งกว่าหนังสือเรียนเสียอีก เป็นหนังสือมักจะที่แนะนำเพื่อนๆอ่าน...Bookworm by K.Nuthathai Phipornpong -
195.00
175.50 บาท
...เป็นหนึ่งในหนังสือที่ชอบมากๆ เรียกว่าเก็บเงินซื้อเป็นล็อตต้นๆ ที่ได้งานทำเป็นเรื่องเป็นราว ปกนี้เป็นฉบับปรับปรุงครั้งที่ 2 ปัจจุบันมีปกใหม่แล้วคะ ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน เป็นนวนิยายปี 2537 ที่รังสรรค์ขึ้นโดยคุณวินทร์ เลียววาริณ ซึ่งสามารถคว้ารางวัลมากมายจากงานนี้เรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นรางวัลดีเด่นจากคณะกรรมการพัฒนาหนังสือแห่งชาติ ปี 2538, รางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน(ซีไรต์) ปี 2540 และหนังสือดีสำหรับเด็กและเยาวชน (อายุ 16-18 ปี) พ.ศ. 2541-2542 เรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในนวนิยายเรื่องนี้เป็นการเชื่อมโยงเหตุการณ์จริงของประวัติศาสตร์การเมืองไทยตั้งแต่ยุคปฏิวัติการปกครองในปี 2475 จนถึงเหตุการณ์ "พฤษภาทมิฬ" ในปี 2535 ประยุกต์กับการสร้างพล็อตนิยายที่มีเรื่องราวสอดคล้องกันระหว่าง เหตุการณ์จริง กับเหตุการณ์ของ "ตัวละครสมมุติ" ในเรื่องซึ่งผู้เขียนได้จินตนาการขึ้น โดยใช้เหตุการณ์ทางการเมืองครั้งสำคัญ 11 เหตุการณ์ ถ่ายทอดเป็น 11 เรื่องสั้น ตามปีที่เกิดเหตุการณ์ขึ้นจริง โดยเล่าเรื่องราวผ่าน 2 ตัวละครหลักคือ "ตุ้ย พันเข็ม" และ "เสือย้อย" ที่มีอุดมการณ์เกี่ยวกับประชาธิปไตย และความรักในระบอบความเป็นชาติคล้ายคลึงกัน แต่วิธีการในการแสดงออกซึ่งอุดมการณ์เหล่านั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ในภาคของ "ตุ้ย พันเข็ม" จะถ่ายทอดอุดมการณ์ของตนเองในแบบของผู้พิทักษ์สันติราษฏร์ ผู้ถือกฎหมาย คนของภาครัฐที่ทำเพื่อประชาชนและประเทศชาติ และมีแนวคิดว่า "ความอยุติธรรมหาทางออกได้ด้วยกฎหมาย" ส่วนในภาคของ "เสือย้อย" ที่อยู่ในคราบของโจร ไม่เห็นด้วยว่า "กฎหมายจะสามารถขจัดความอยุติธรรมบนโลกนี้ได้" ซึ่งในเรื่อง... บทบาทของเสือย้อยที่มีต่อการช่วยเหลือประเทศชาติไม่ต่างกันกับ "ตุ้ย พันเข็ม" เลย เพียงแต่วิธีการที่เขาใช้ไม่ได้เดินตามกฎหมายที่สังคมกำหนดไว้เท่านั้นเอง วิธีคิดที่แตกต่าง มุมมองที่แตกต่าง นำมาซึ่งวิธีการในการเลือกปฏิบัติที่แตกต่าง แม้ภายใต้อุดมการณ์เดียวกัน ตัวละคร "ตุ้ย พันเข็ม" กับ "เสือย้อย" จึงเปรียบเสมือน "เส้นขนานของประชาธิปไตย" สะท้อนภาพใน "มุมสว่าง" และ"มุมมืด" ของคนที่เรียกตนว่า "นักประชาธิปไตย" แท้จริงแล้วควรเป็นเช่นไร ดิฉันอ่านเรื่องนี้มาตั้งแต่ตอน ปวส.3 (ม.6) ในฉบับแรก (มีฉบับปรับปรุงใหม่ที่ผู้เขียนได้ตัดทอน - เพิ่มเติม ดัดแปลงรายละเอียดบางส่วน เพื่อให้เรื่องกระชับและสมบูรณ์ยิ่งขึ้น) ในตอนที่ดิฉันอ่านเป็นช่วงเวลาที่ผ่านเหตุการณ์ "พฤษภาทมิฬ" มาได้ประมาณ 5-6 ปีแล้ว อรรถรสที่ได้จึงเพื่อความบันเทิงเพียงเท่านั้น แต่พอมาถึงการเมืองยุคทุนนิยม การล่มสลายของรัฐบาลทุนนิยม การประท้วง การเรียกร้องอำนาจประชาธิปไตยคืนสู่ประชาชน ทำให้ดิฉันนึกถึงนวนิยายเรื่องนี้อีกรอบ (รอบนี้ดิฉันได้อ่านฉบับปรับปรุงใหม่ 2546) และเริ่มทำความเข้าใจกับลำดับเหตุการณ์ของประชาธิปไตยในไทย ตั้งแต่ยุคการเปลี่ยนแปลงการปกครองจนถึงเหตุการณ์ "พฤษภาทมิฬ" ซึ่งเป็นเรื่องราวสิ้นสุดลงในเรื่อง จากเรื่องที่อ่าน แม้จะเป็นนิยาย แต่ก็อิงประวัติศาสตร์ทางการเมืองอยู่ไม่น้อย ผนวกกับเหตุการณ์ทางการเมืองในปัจจุบัน และจากลำดับเหตุการณ์ต่างๆ จากการรัฐประหารยึดอำนาจครั้งแล้วครั้งเล่า การเป็นรัฐบาลไม่ครบยุคครบสมัย การยุบสภาก่อนครบวาระ ด้วยเหตุผลที่คล้ายคลึงกัน "คอร์รัปชั่น" ที่กลายเป็นวงจรอุบาทว์ เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าทำให้ดิฉันเกิดความรู้สึกอย่างหนึ่ง "คอร์รัปชั่น ตัวการสำคัญที่ทำให้การเมืองไทยไม่แข็งแรง" และอีกปัจจัยหนึ่ง ในความรู้สึกส่วนตัว ดิฉันมองว่า ที่การเมืองไทยไม่แข็งแรง อาจเป็นเพราะประชาธิปไตยไทยมีจุดเริ่มต้นที่รวดเร็วมาก ทำให้มีการรัฐประหารยึดอำนาจบ่อยครั้ง เปลี่ยนรัฐบาลใหม่ก่อนกำหนด ยุบสภาหนี้ปัญหาคอร์รัปชั่น การเมืองไทยเป็นเช่นนี้ตลอดกว่า 70 ปีที่เรามีประชาธิปไตยมา และอีกหนึ่งเหตุผลในการสั่นคลอนความมั่นคงทางการเมืองและประเทศชาติ คงหนีไม่พ้นเรื่องของ "ความไม่สามัคคี" ซึ่งมีหลายเหตุการณ์ในหนังสือเรื่องนี้ ก็แสดงชัดว่า ความแตกความสามัคคี เป็นที่มาของจุดเสื่อมในสังคม ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่เลย ในทุกยุคทุกสมัยในอดีตอันเนิ่นนาน เรื่องการขาดความสามัคคีก็เป็น อาวุธร้ายในการทำลายล้างประเทศชาติ การประท้วงกันไม่รู้จบ มากมายหลายฝ่าย จนไม่รู้ฝ่ายไหนเป็นฝ่ายไหน มองไม่ออกว่าใครทำเพื่อใคร ทำเพื่อประชาชน เพื่อประเทศชาติอย่างที่กล่าวอ้างจริงหรือไม่? จนถึงภาพความรุนแรงที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานนี้ ดิฉันเริ่มถามตัวเองว่า ประชาธิปไตยคืออะไร? แบบที่เราเป็นอยู่ แบบที่เราเห็นกันอยู่ เรียกว่า ประชาธิปไตยหรือไม่? ดิฉันเริ่มสับสนและเริ่มนึกถึงนิยายเรื่องนี้อีกครั้ง เพราะดิฉันคิดถึง "ตุ้ย พันเข็ม" ตัวแทนความดีของกฎหมายของคนถือกฎหมาย มีอำนาจอยู่ในมือแล้วทำเพื่อประเทศชาติอย่างแท้จริง และดิฉันคิดถึง "เสือย้อย" ตัวแทนของคนในมุมมืด คนที่อยู่ในคราบของโจร แต่ทำเพื่อประเทศชาติในแบบ และวิธีการของเขา เขาทั้ง 2 สองคน แตกต่างกันด้วยวิธีการ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คือ ความรักประเทศชาติ แต่คนที่อยู่ในคราบของนักบริหารบ้านเมือง นักเอ่ยอ้างว่าตัวเป็นผู้เรียกร้องสิทธิเพื่อประชาธิปไตยในปัจจุบัน ดิฉันไม่แน่ใจว่า เขายืนกันคนละมุม คนละที่ แต่ยังทำประโยชน์เพื่อประเทศชาติเหมือนกันหรือไม่ หรืออยู่คนละฝั่งคนละฟาก และยังทำเพื่อผลประโยชน์ของพวกพ้องตัวเองอยู่เท่านั้นด้วย "เส้นขนานของประชาธิปไตย" ในโลกของนวนิยายคุณวินทร์ ดิฉันขออนุญาตตีความเอาเองว่า ทั้ง 2 เส้นขนานเป็นวิถีทางที่มีผลดีต่อส่วนรวมทั้งสิ้น แต่ "เส้นขนานของประชาธิปไตย" บนโลกแห่งความเป็นจริง ดิฉันไม่อาจแน่ใจได้เลยว่ามีเรื่องใดบ้างที่เป็นผลดีต่อส่วนรวม? -
345.00
310.50 บาท
หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มโปรดเลยค่ะ นักเขียน เขียนดีมาก บรรยายตัวละครได้ีดีเยี่ยม อย่างรีเบคกาจะได้ความรู้สึกเหมือนกับว่าเธอยังมีตัวตนอยู่ ส่วนการบรรยายแมนเดอร์ลีย์ก็บรรยายได้เริ่ดมาก สำนวนเรื่องนี้สละสลวย ประทับใจมากค่ะ Bookworm by fan page Coffee Day -
215.00
193.50 บาท
ปลาที่ว่ายนอกสนามฟุตบอล เป็น 1 ใน 2 ผลงานล่าสุดของนักเขียนซีไรต์ วินทร์ เลียววาริณ อีกเล่มคือ สองปีกของความฝัน ซึ่ง ปลาที่ว่ายนอกสนามฟุตบอล เป็นภาคต่อของ ปลาที่ว่ายในสนามฟุตบอล ซึ่งแบ่งเป็น 4 ภาคใหญ่ๆ ได้แก่ 1. จักรวาล 2. ชีวิต 3. ผู้สร้างจักรวาล 4. จิต หากใครไม่รู้จักคุณวินทร์ เลียววาริณ (น่าจะน้อยคนน่ะ) ขอแนะนำสั้นๆ คุณวินทร์คือนักเขียน นักคิด นักสร้างสรรค์งานเขียนแนวใหม่ (คำนี้ผมคิดขึ้นเอง) ซึ่งมีผลงานหลากหลายรูปแบบ และมีผลงานใหม่ๆออกมาอย่างต่อเนื่อง ส่วนใหญ่จะออกผลงานใหม่ในช่วงงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติช่วงเดือนมีนาคม และงานมหกรรมหนังสือแห่งชาติช่วงตุลาคม ซึ่งมีจัดทุกปี คุณวินทร์ ได้รับรางวัลจากงานเขียนหลายชิ้น ซึ่งรางวัลใหญ่สุดคงเป็นรางวัลซีไรต์ 2 สมัยจาก ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน นวนิยายอิงประวัติศาสตร์การเมืองของไทย เมื่อปี พ.ศ. 2540 และ สิ่งมีชีิวตที่เรียกว่าคน รวมเรื่องสั้นแนวทดลอง ที่วิเคราะห์ความคิด และการกระทำของมนุษย์... ปลาที่ว่ายนอกสนามฟุตบอล นั้นเป็นหนังสือแนวสารคดีด้านวิทยาศาสตร์ ร่วมด้วยจักรวาลวิทยา ตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องจักรวาล การกำเนิดโลกและมนุษย์ และคำถามเชิงอภิปรัชญา โดยใช้วิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือในการหาคำตอบ ผลงาน ปลาที่ว่ายนอกสนามฟุตบอล นั้น ก็พอๆ กับ ปลาที่ว่ายในสนามฟุตบอล ผลงานในชุดเดียวกันก่อนหน้านี้ ซึ่งผู้อ่านที่จะได้รับประโยชน์ถึงที่สุดนั้น ควรมีพื้นฐานความรู้ หรือเคยอ่านผลงานทางด้านวิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ ศาสนา และปรัชญา มาพอสมควร ถึงจะสามารถซึมซับความรู้ที่ได้จากหนังสือเล่มนี้ (มุมมองส่วนตัวน่ะครับ เพราะบางส่วน ผมไม่มีความรู้ อ่านไปแล้ว ก็จะมึนๆ บ้าง) แต่ถ้าใครไม่เคยอ่าน ก็ลองพยายามอ่านดูน่ะครับ อาจจะย่อยยากไปนิด แต่คุณวินทร์ก็คำนึงถึงผู้อ่านครับ เพราะได้มีการอธิบายเรื่องที่จะกล่าวถึงในเบื้องต้น เพื่อปูพื้นความรู้ให้กับผู้อ่านก่อนที่จะพาเข้าไปสู่เรื่องราวที่ต้องการนำเสนอ ซึ่งนอกจากจะสนุกไปกับสำนวนในการถ่ายเรื่องราว รวมถึงความรู้ในศาสตร์ต่างๆ ที่อยู่ในภาคภาษาอังกฤษ มาสรุปถ่ายทอดให้ (เนื่องจากหนังสือดีๆ บางเล่มในต่างประเทศ สำนักพิมพ์ของไทย ก็ไม่ได้ซื้อลิขสิทธิ์มาแปลเป็นภาษาไทย) คุณวินทร์ยังได้นำเรื่องสั้นทางวิทยาศาสตร์ ภาพยนตร์ หนังสือ รวมถึงข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ มาใช้อ้างอิง เปรียบเทียบ ซึ่งมีส่วนช่วยอย่างมากในการอ่าน เรื่องที่เราอาจทำความเข้าใจได้ยาก ให้เข้าใจง่ายยิ่งขึ้น ผมสังเกตว่าทุกวันนี้หนังสือที่ให้ 'ความรู้' มีอยู่มากมาย แต่หนังสือทีให้ 'ความคิด' นั้นมีไม่มาก และ ปลาที่ว่ายนอกสนามฟุตบอล คือหนึ่งในนั้น หนังสือเล่มนี้คงไม่ค่อยเหมาะกับเด็กๆ เท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นเยาวชน น่าจะได้ประโยชน์ที่สุด ข้อแม้เพียงอย่างเดียวของผู้ที่คิดจะอ่านหนังสือเล่มนี้คือ หากคุณเป็นที่มีความเชื่อฝังหัว ยึิดติดกับมุมมองของตัวเองในระดับที่สูงนั้น คงอ่านไม่ได้ เพราะหนังสือเล่มนี้จะท้าทายความเชื่อ ความคิด ทัศนคติของผู้อ่าน ว่าสิ่งที่เราเชื่อหรือเห็นในเป็นเช่นนั้น จริงๆ แล้วก็เป็นเพียงแง่มุมหนึ่งเท่านั้น ยังมีอีกหลายแง่มุมที่เราอาจยังไม่พบ ไม่ได้นึกถึง ช่วยกระตุ้นสมองของคุณให้คิดในมุมอื่นๆ นอกจากมุมที่คุณเชื่อถืออยู่นี้เป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุด เท่าที่หนังสือเล่มหนึ่งจะมอบให้กับผู้อ่านได้ ผมแนะนำครับสำหรับ ปลาที่ว่ายนอกสนามฟุตบอล และหากใครต้องการได้อรรถรสในการอ่านที่สมบูรณ์ ควรหาหนังสือ ปลาที่ว่ายในสนามฟุตบอล มาอ่านก่อนครับ แบ่งปันให้เพื่อนๆ อ่านน่ะครับ -
220.00
198.00 บาท
ในบรรดานักเขียนไทยที่สร้างสรรค์งานในเชิงทดลอง ชื่อของ วินทร์ เลียววาริณ ถือเป็นนักเขียนในแนวทางนี้ ที่ยืนอยู่ตรงแถวหน้า ผลงานล่าสุดของเขา... รวมเรื่องสั้น สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน นับเป็นงานสร้างสรรค์ที่มีมิติของการแสดงความสำคัญในคุณค่าของวรรณกรรมทั้ง รูปแบบ เนื้อหาและความคิด ผ่านการตีค่าของความเป็นคนในประเด็นที่ว่า คนทุกคนคือสิ่งที่มีความคิด... เป็นสิ่งมีชีวิตที่แรงขับเคลื่อนทางกายและใจถูกผลักดันโดยขบวนการแห่งความสงสัยใคร่รู้ แน่นอนที่สุด ที่เราสามารถยืนยันได้ว่า ทุกสรรพสิ่งในโลกนี้ ล้วนมีปริศนาด้านความหมายและการตีความที่ถูกควบคุมอยู่ โดยบางสิ่งที่เราไม่รู้ไม่เห็นมากมาย ภารกิจของความเป็นคนในยุคสมัยปัจจุบันไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใด จึงอยู่ที่การพยายามตั้งคำถามหรือการพยายามตั้งข้อสงสัย เพื่อนำไปสู่การแสวงหา และสืบค้นถึงความจริง วินทร์ เลียววาริณ นำเสนอวิธีการใฝ่หาความจริงของเขาในเรื่องราวของความเป็นคนด้วยมุมมองของ ‘ความเป็นเรื่องสั้น’ จำนวน 17 เรื่อง 17 แง่มุมของความคิดโดยย้อนไปในอดีตนับล้านปี และผูกโยงมาถึงอายุขัยของโลก นับแต่กำเนิดของสิ่งมีชีวิต ซึ่งเป็นสัตว์เซลล์เดียวเรื่อยมาจนถึงวิวัฒนาการแห่งสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘คน’ เหมือนเช่นในปัจจุบัน วินทร์พยายามจะอธิบายข้อสงสัยต่างๆ ของความเป็นคน ผ่านทั้งทางศาสตร์และสำนึกต่างๆมากมายไม่ว่าจะเป็นในด้านของสังคม การเมือง ศาสนา ธรรมชาติวิทยา เทคโนโลยีแผนใหม่ ฯลฯ ซึ่งสามารถบอกได้ว่าในฐานะของความเป็นนักเขียน เขาได้ทุ่มเทศึกษาอย่างเต็มที่ในสิ่งต่างๆที่เขามีข้อสงสัย “เคยสงสัยว่า...หน้ากากติดมากับคนตั้งแต่ช่วงไหนของอารยธรรมมนุษย์ ใช่ไหมว่า...มันมาพร้อมกับสิ่งที่เรียกว่าวัฒนธรรม? ยิ่งวัฒนธรรมพัฒนาไป หน้ากากก็ยิ่งมีหลายใบ? คำถามคือ...ในเมื่อเราทุกคนที่รู้ว่าเราสวมหน้ากากเข้าหากันต่างรู้สึกไม่เป็นธรรมชาติเหมือนกัน “ทำไมยังต้องสวมอยู่ ทำไมสลัดมันไม่หลุด” ข้อสงสัยในประเด็นตัวอย่างข้างต้นดูเหมือนจะถูกแจกแจงเพื่อค้นหาคำตอบด้วยหลักการแห่งการวิเคราะห์ (Rule of Synthesis) อันหมายถึงการนำเอาแต่ละส่วนที่วิเคราะห์มาผูกเกี่ยวเข้าด้วยกันเพื่อชี้ให้เห็นภาพรวมโดยใช้หลักการในลักษณะ ตรรกะของการสรุป (deduction) โดยเริ่มจากง่ายไปสู่ยากหรือไปสู่การสรุปที่มีความซับซ้อนในที่สุด จากประเด็นดังกล่าว วินทร์ ให้ข้อสรุปว่า... ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นถือเป็น ‘พิมพ์เขียวของชีวิต’ หรือเป็นเพราะ ‘การวิวัฒนาการของระบบสังคม’ กันแน่ การใช้วิธีการเช่นนี้ในการอธิบายความและให้ข้อสรุปเรื่องราวใดเรื่องราวหนึ่ง ที่ถูกนำมาผูกเป็นเนื้อหาของเรื่องสั้นแต่ละเรื่อง... ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องโดยลำดับจากเรื่องสั้นแต่ละเรื่องแรกไป จนถึงเรื่องสุดท้าย ทั้ง 17 เรื่องถูกอธิบายและหาขยายแก่นแห่งสาระด้วยข้อเขียนเชิงบทความที่มองเห็นถึงการทุ่มเทจิตใจอย่างเต็มที่ของวินทร์ในฐานะผู้เขียนที่จะได้มาซึ่งข้อเท็จจริง ในประเด็นข้อสงสัยนั้นๆ อย่างเต็มที่ เรื่องสั้นทั้งหมดของเราเปรียบได้ดั่งภาพตัวอย่างที่เป็นภาคขยายของ ‘ความคิด’ ในการปรารถนาคำตอบที่ยังคงอยู่ในความมืดมนทั้งด้านนอกและด้านในของชีวิตมนุษย์ ซึ่งก็พอจะสรุปความโดยรวมได้ว่า ในการเกิดมาเป็นคน ทุกๆคนต้องการที่จะมีชีวิตที่ดีงาม (Good Life) แต่ทำไมคนแต่ละคนถึงไปตรงที่นั้นได้ยากยิ่ง การมีชีวิตที่ดีงามคืออะไร? นั่นเป็นคำถามที่ถูกระบุคำตอบโดยรวมว่า ชีวิตจะดีหรือไม่ดีนั้นขึ้นอยู่ที่ ‘แบบแผนของการดำเนินชีวิต’ ของบุคคลมากกว่า ‘รูปแบบเบ็ดเสร็จของชีวิต’ นั่นเป็นสิ่งที่วินทร์สามารถอธิบายผ่านความคิดในระบบต่างๆ ที่นำมาจับประเด็นในการตีความหมายได้ว่า “ชีวิตที่ไม่ดีคือชีวิตที่ไม่ยืดหยุ่น ไร้เป้าหมายและไร้ทิศทางในการดำเนินชีวิต ชีวิตที่ดีไม่ใช่คนที่ประสบผลสำเร็จในชีวิตด้านต่างๆ คนคนนั้นอาจมีชีวิตที่ขาดๆเกินๆ แต่เขามีเป้าหมายในการดำเนินชีวิต และไม่ตกเป็นทาสที่ผูกมัดของสิ่งใดไม่ว่าจะเป็นค่านิยม ประเพณี หรือวัฒนธรรม” ในเรื่องสั้น หมากลางถนน และ เพชฌฆาต... วินทร์เหมือนต้องการที่จะแสดงว่า... ภาวะแห่งความเป็นคน.. ต้องดำเนินไปด้วยการเปิดตาเปิดใจรับรู้ความคิดความรู้สึกของตนอย่างจริงใจ และด้วยความตั้งใจไม่ว่าความคิด ความรู้สึกนั้นจะเป็นด้านบวกหรือด้านลบก็ตาม ส่วนในเรื่องสั้น ลั่นทมโรยกลีบ และ กระถางชะเนียงริมหน้าต่าง... การมีชีวิตอยู่กับปัจจุบันโดยไม่ผูกมัดตนเองกับประสบการณ์ของอดีตและหมกมุ่นต่อสิ่งที่จะเป็นไปในอนาคตถูกแสดงออกมาอย่างน่าพินิจพิเคราะห์ การพูดถึงคนในฐานะแห่งการมีชีวิตที่ดี นับเป็นเรื่องที่ยากที่จะอธิบาย โดยเฉพาะในขณะที่ที่โลกแห่งชีวิต เต็มไปด้วยบริบทที่ซับซ้อนและยากแก่การเข้าใจเหมือนเช่นในปัจจุบัน ในเรื่องสั้น กามสุขัลลิกานุโยค และ ละครจริงที่ห้องขาวดำ ภาวะของ ‘คน’ ที่แสดงออกมาถึงความรู้สึกอิสรเสรีที่จะทำอะไรหรือเล่นบทบาทอะไรก็ได้ในชีวิต แต่ความรู้สึกนั้นจะต้องเกิดคู่เคียงกันไปกับความรับผิดชอบ ปรากฏออกมาค่อนข้างชัดเจน สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน ถูกนำเสนอสาระเรื่องราวในข้อสงสัยของความเป็นคนและการมีชีวิตที่ดีด้วยตัวอย่างบทบาทของชีวิตที่แสดงโดยตัวละครหลากมิติ ทั้งที่เป็นความสมจริงและทั้งที่เป็นความเหนือจริง... บทบาทต่างๆเหมือนถูกผูกโยงตั้งเป็นคำถามและอธิบายนัยความหมายออกมาผ่านการแสดงของชีวิต...ผ่านแง่มุมแห่งความเป็นไปของคนคนหนึ่ง ตลอดจนอาณาจักรแวดล้อมรอบข้างความสมบูรณ์แห่งการอธิบายเรื่องราวให้แจ่มชัด ถูกเน้นย้ำด้วย ‘ข้อคิด...ข้อเขียน’ เชิงบทความที่อธิบายแก่นของสาระอย่างมีรายละเอียด ในความเป็นนักเขียน บทความต่างๆ ที่ถูกจัดวางให้เป็นเหมือนบทนำของเรื่องสั้นแต่ละเรื่องอย่าง หน้ากาก สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าสัตว์ การฆ่าตัวตายกับการเป็นเจ้าของตัวเอง ฯลฯ สื่อให้เห็นถึงการเป็นนักเขียนของวินทร์ในลักษณะที่เป็นผู้มีจิตใจในการแสวงหาความรู้ใหม่ๆ (Enquiring Mind) รวมทั้งการมองปัญหาและข้อเท็จจริงที่เกาะเกี่ยวโยงใยเป็นภาพรวม (Holism) ฐานะของวินทร์ ตรงนี้จึงอยู่ในตำแน่งของผู้ใฝ่รู้และแสวงหาความจริงในคุณค่าของมนุษย์... ตรงประเด็นที่ว่า คุณค่าของมนุษย์นั้นจะต้องขึ้นอยู่กับความสามารถในการเพิ่มพูนความรู้ แต่ถ้าจะมอง ‘รวมเรื่องสั้น’ เล่มนี้ ในสถานะของ ‘วรรณกรรม’ ข้อสงสัยประเด็นแรกที่จะต้องเป็นคำถามก็คือจำเป็นด้วยหรือที่นักเขียนจะต้องอธิบายเรื่องราวในเนื้อหาสาระที่ตนเขียนต่อผู้อ่านอย่างหมดเปลือกเช่นนั้น... การเขียนบทความอธิบายความคิด โดยมีตัวอย่างเป็นภาพแสดงในรูปลักษณ์ของเรื่องสั้น อาจทำให้ผู้อ่านมองเห็นภาพได้กระจ่างชัดก็จริง แต่เมื่อแยกส่วนทั้งสองออกจากกัน ... ภาพโดยรวมทั้งหมดกลับถูกกระจัดกระจาย ในบทตอนทั้ง 17 บทตอน ความสมดุลระหว่างส่วนทั้งสองส่วน อาจผสมผสานกันได้ดีบ้างอย่าง... สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าสัตว์ กับ หมากลางถนน หรือ ความรุนแรงกับบาป กับ เพชฌฆาต แต่โดยส่วนใหญ่... ผมกลับมีข้อประจักษ์ว่า ... เรื่องสั้นอย่าง ... เช็งเม้ง คำสารภาพของช้างเท้าหลัง ตุ๊กตา หรือ โลกสามใบของ ราษฎร์ เอกเทศ ไม่จำเป็นต้องมีบทกล่าวนำเพราะมีความที่สมบูรณ์เป็นคำอธิบายที่ชัดเจนอยู่ในตัวของมันแล้ว เช่นเดียวกับบทความเช่น การฆ่าตัวตายกับการเป็นเจ้าของตัวเอง ถ้าผมสามารถเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้อีกครั้งหนึ่ง หรือภาพแสดงเป็นตัวอย่างใดใด เพราะความคิดตรงนั้นก็ชัดเจนและมีพลังอยู่แล้ว อย่างไรก็ดี... แม้ผมจะตระหนักว่านี่คือผลงานในเชิงทดลองด้านวรรณกรรมที่ล้ำสมัย... เป็นนวัตกรรมใหม่ที่มองเห็นความตั้งใจของผู้เขียน ที่จะแสดงความรู้ในมิติต่างๆเพื่ออธิบายข้อสงสัยในความเป็นคนไม่ว่าจะเป็นความรู้ทางเทคนิค (Technical Knowledge) อันหมายถึงความรู้เฉพาะด้านเฉพาะอย่าง (Specialization) รวมทั้งความรู้เชิงกลยุทธ์ (Strategic knowledge) ซึ่งหมายถึงการผสมผสานความรู้หลายสาขา เข้าด้วยกันและมีความสัมพันธ์ต่อกัน แต่ถึงกระนั้น ผมก็ยังมีความคิดเห็นว่า “วรรณกรรมน่าจะสามารถอธิบายข้อเท็จจริงและเนื้อแท้แห่งสาระด้วยตัวของมันเองได้” การรวมกันในลักษณะเช่นนี้เป็นผลดีต่อความเป็น ‘หนังสือเล่มหนึ่ง’ ที่มีข้อมูลแห่งการรับรู้ในข้อสงสัยที่ไม่รู้ผ่านการตีความและอธิบายความที่สมบูรณ์ แต่กับการเสพหนังสือเล่มนี้ในมิติของ ‘วรรณกรรม’ ผู้อ่านแทบไม่ต้องใช้ภูมิรู้หรือความเข้าใจส่วนตนจินตนาการกับประเด็นความคิดอันเป็นข้อสงสัยต่างๆเลย ทุกบทตอนเหมือนมี ‘คู่มือ’ ประกอบการทำความเข้าใจไว้เสร็จสรรพ ซึ่งตรงนี้นี่เองที่ทำให้ สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน ตกอยู่ในสภาพของการเป็นหนังสือที่ดี แต่เป็นวรรณกรรมที่ 'ขาดเสน่ห์ด้านการรับรู้' ต่อผู้อ่านไปอย่างน่าเสียดายยิ่ง แท้จริง... คนคือสิ่งที่มีความคิด (Thinking being) ...เหตุนี้ การเข้าถึงเนื้อในของความเป็นจริงทั้งหมด...จึงน่าจะปล่อยให้ความคิดของคนทุกคนได้มีใจที่จะค้นหาความรู้ใหม่ๆ โยงใยเป็นภาพรวมด้วยตัวของเขาเองจะดีกว่า