บางคนที่ถึงจุดหนึ่งถึงเวลาที่เหมาะสมแล้วเขารู้สึกว่า เราคงจะต้องเอาตัวรอดได้แล้ว

มันก็จะออกมาเองโดยที่ไม่ต้องมีใครมาบอกด้วยซ้ำ

ทุกอย่างมันจะทำได้ง่ายดายต้องมองตัวเองแล้วเข้าใจตัวเองว่าความเศร้ามันเป็นเรื่องสากลมากๆ

แล้วมันอยู่กับเราทุกอายุเลย เราไม่ต้องหนีมันไปก็ได้ อยู่กับมันให้เข้าใจ

แล้วก็เดี๋ยวเราก็จะเดินจากมันมาเอง

- พิมประภา -

________________________________________________________________

กว่าจะมาเป็นเพจ 1991 ในวันนี้ :

          ตอนเริ่มต้องบอกก่อนว่าเป็นคนที่ถ่ายรูปก่อนแต่เราไม่ได้แบบคนถ่ายที่แบบมีกล้องนะ เราเป็นคนชอบถ่ายด้วย SmartPhone ทีนี้พอเราชอบถ่ายรูปแล้วเนี่ย มันก็บวกกับว่าเราก็ชอบที่จะบรรยายความรู้สึกด้วย เป็นคนเพ้อเจ้อในระดับหนึ่งใน Facebook ส่วนตัว ก็เลยรู้สึกว่าโอเค ถ้ามันจะดีไหมถ้าเรามีพื้นที่พื้นที่หนึ่งที่มีทั้งภาพและข้อความอยู่ในนั้นด้วยมันก็เลยกลายเป็น คอนเซ็ปของเพจเพจนี้เป็นการถ่ายภาพด้วยตัวเองหมดเลย

คอนเทนต์ ‘ความรัก’ของเราในเพจเป็นแนวไหน :

          เราเป็นคนที่เหมือนกับถ้าเศร้าก็จะยิ่งถ่ายทอดออกมาได้ดีในระดับหนึ่งเราก็รู้สึกว่าคนอ่านเขาก็คงรู้สึกเหมือนกัน คือพอมันหน่วงมันก็ต้องอ่าน เหมือนมันเป็นการเสพติดอย่างหนึ่งเหมือนกันนะ คือเราไม่ได้บอกว่าคุณอ่านของเราแล้วจะเป็นโรคซึมเศร้าหรือคุณจะจมลง หรืออ่านของเราแล้วมันจะดีขึ้นคือเราไม่ได้อยู่ในฐานะที่ว่าช่วยให้คุณดีขึ้นหรือช่วยให้คุณแย่ลง เราว่าเราอยู่ในระดับกลางๆที่ให้คนอ่านเป็นคนตัดสินใจเองว่า Content ประเภทนี้ เขาชอบแล้วมันถูกจริตเขา เหมือนเขามีเพื่อนเราว่าคือสิ่งสำคัญคือการมีเพื่อน ที่ว่าแบบถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้เหมือนใกล้เคียงกับเขามากที่สุด

ทำไมถึงตั้งชื่อเพจว่า "1991" :

          เรารู้สึกว่ามันเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ทำให้คนอยากรู้ ทำไมต้อง 1991 เป็นปี ค.ศ. ของเจ้าของเพจหรือเปล่า ซึ่งเราก็ทิ้งระเบิดคำถามเอาไว้โดยที่ไม่เคยตอบใครเลย แต่ถ้ามันต้องพูดจริงๆถ้าพูดถึงในส่วนตัวค่ะ 1991 มันเป็นเลขที่เกี่ยวกับชีวิตเราทั้งหมดในชีวิตเลย ก็คือ 19 มันก็เป็นเลขวันเกิด 91 ก็เป็นปีเกิด เรารู้สึกว่ามันเกี่ยวข้องกับตัวเรา แต่ถ้าพูดถึงในกลุ่มของคนทั่วไป เรามองว่า 1991 มันเป็นการเล่นคำอย่างหนึ่งนะเหมือนมันเล่นเป็นภาษาไทยว่าแบบ

 

หนึ่งก้าวและก็ก้าวหนึ่ง มันคือการก้าวไปข้างหน้า

ถึงแม้ว่าคุณจะหยุดแล้วมองอดีตบ่อยแค่ไหน หรือว่ายังไม่ได้เดินไปไหน

แต่ว่าสุดท้ายแล้วเราก็ต้องก้าวออกไป

ไม่มีทางที่จะเดินถอยหลังเพราะมันคือหนึ่งก้าว และก็ก้าวหนึ่ง

- 1991 -

 

ระหว่างการทำเพจกับนักเขียนมีความแตกต่างกันมั้ย ชอบงานแบบไหนมากกว่ากัน :

          เราไม่ได้มีความคิดว่าอยากเป็นนักเขียนมาตั้งแต่แรก คือเราแค่เป็นคนที่ชอบเล่าเรื่องชอบสื่อสารชอบคุยกับคนแต่ทีนี้พอมาถึงจุดหนึ่งที่เราทำมาเรื่อยๆเนี่ย มันมีคนเข้ามาอ่านผลงานเราเยอะขึ้น ไอ้ความรู้สึกว่าอยากมีผลงานที่มันจับต้องได้สัมผัสได้ ได้กลิ่นของกระดาษ หรือได้สัมผัสเป็นประสาทสัมผัส เรารู้สึกว่ามันมีค่า เรารู้สึกว่าสิ่งที่เราทำมา ถ้ามันจะได้รวบรวมหรือได้เขียนออกมาเป็นเล่มเล่มหนึ่งเนี่ย มันมีคุณค่ามากสำหรับเรา

ฝากให้กำลังใจคนที่กำลังอยู่ใน "ความเศร้า" ว่าเค้าจะมีวิธีพาตัวเองออกมาจากความเศร้าได้อย่างไร :

          สำหรับคนที่รู้สึกเศร้าอยู่ไม่ว่าจะเรื่องอะไรนะ คือเราไม่ได้พูดถึงความสัมพันธ์ความรักเพียงอย่างเดียว ก็อาจจะเจอเรื่องต่างๆในชีวิตเขาอยู่และเรารู้สึกว่าเราเป็นเพื่อนแท้สำหรับเขาอันนี้เรารู้สึกแบบว่ามันประสบความสำเร็จมาก การที่เราทำตรงนี้แล้วเรารู้สึกเราเป็นเพื่อนให้ใครสักคนหนึ่งได้ ซึ่งเวลาที่คนเราเจอเรื่องไม่ดีหรือเรื่องที่อยากข้ามไปผ่านไป คือเรารู้สึกว่าทุกอย่างมันมีเวลาของมัน เราไม่ต้องรีบร้อนหรือใจร้อนที่จะผ่านมันไปก็ได้ คืออยู่กับมันไปก่อนก็ได้ เพราะยังไงแล้วคนเรา มนุษย์เรามันมีสัญชาตญาณการเอาตัวรอดสูงมากด้วยนะ คนเราพออยู่กับสิ่งสิ่งนี้แล้วมันไม่มีความสุข มันเจ็บปวด คนเรามันมีวิธีทางออกของตัวเองอยู่แล้ว

 

          แต่ในขณะที่คนเราก็เป็นมนุษย์ที่ที่มีความอดทนสูงเหมือนกัน อดทนในสิ่งที่ไม่ควรอดทนสูงมาก ซึ่งพอเมื่อสัญชาตญาณการเอาตัวรอดกับความอดทน มันมาผสมกันมันไม่มี Balance บางคนอาจจะอดทนมากหน่อยกับการที่จะหาทางออก เขาก็จะอยู่กับความเศร้าพวกนั้นต่อไป แต่บางคนที่ถึงจุดหนึ่งถึงเวลาที่เหมาะสมแล้วเขารู้สึกว่า เราคงจะต้องเอาตัวรอดได้แล้ว มันก็จะออกมาเองโดยที่ไม่ต้องมีใครมาบอกด้วยซ้ำ ทุกอย่างมันจะทำได้ง่ายดายต้องมองตัวเองแล้วเข้าใจตัวเองว่าความเศร้ามันเป็นเรื่องสากลมากๆแล้วมันอยู่กับเราทุกอายุเลย เราไม่ต้องหนีมันไปก็ได้อยู่กับมันให้เข้าใจแล้วก็เดี๋ยวเราก็จะเดินจากมันมาเอง

 

          พิมเชื่อเรื่องกฎหมายของการเคลื่อนที่ คือคนที่เขามีปัญหา เขามักจะหาทางออกเขาคิดว่าเขาหาทางออกไม่ได้แต่จริงๆทุกคนมันมีวิธีการมันมี How-to ในหัวอยู่แล้ว ซึ่งกฎของแรงเคลื่อนที่ของพิมพ์ก็คือเวลามีวัตถุสิ่งหนึ่งมากระทบกับอีกสิ่งหนึ่งมันจะทำให้เกิดแรงเคลื่อน ซึ่งพิมพ์คิดว่าต่อให้แรงที่มากระทบเรามันจะเป็นพลังบวกมากเลย มันจะเป็นเสียงจากคนรอบข้างจากครอบครัวจะเป็นคำปลอบโยนหรือให้กำลังใจดีมากแต่วัตถุชิ้นนี้ แต่มันแบกมวลของความเศร้าเสียใจเยอะมากต่อให้มันมากระทบเราแรงแค่ไหนเราก็ไม่เคลื่อนที่ไปข้างหน้ามันเป็นการจินตนาการภาพได้ง่ายมากอันนี้คือความจริงที่แบบ ที่มันต้องยอมรับให้ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ต้องแก้ก็คือตัวเราเอง ว่าเราอยากจะข้ามผ่านความเศร้าไปได้จริงๆไหม บางทีคนที่ตอบได้ดีที่สุดก็คือตัวเราเอง

เพื่อนๆคนไหนสนใจหนังสือ 1991 ระหว่างเราสูญหาย สามารถสั่งซื้อได้ที่นี่